ชื่อวิทยาศาสตร์ Selfish Homosapien
ถิ่น ที่อยู่ - พบได้ประปรายบนรถไฟฟ้า รถใต้ดิน ไม่ค่อยพบบนรถเมลล์ อนุมานเอาว่ารถเมลล์วิ่งค่อนข้างฉวัดเฉวียน และไม่มีเสาแนวตั้งให้พักพิง ปกติจะกลืนไปกับคนทั่วๆไป แต่จะสังเกตเห็นง่าย หากมีผู้คนอยู่ค่อนข้างมาก
ลักษณะ นิสัย - เดินสองขา แต่มักจะใช้กระดูกสันหลังในการพยุงตัว ด้วยการพิงหลังเข้ากับวัตถุเรียวยาวแนวตั้งเช่นเสาเหล็ก บางครั้งอาจใช้สีข้าง หรือแขนในการพิง อิเห็นมีนิ้วมือครบสิบนิ้ว แต่จะไม่ได้ใช้ในการเกาะเกี่ยว เพราะต้องเอาไปใช้ประโยชน์ในการกดไอโฟน เล่นบีบี หรือจิ้มไอแพด พบกาแล็กซี่แท็บบ้าง แต่น้อย นัยว่าเกมไม่เยอะเท่าบน iOS เมื่อมีผู้คนอยู่มาก อิเห็นจะยิ่งแสดงลักษณะเด่นประจำตัว นั่นคือ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากจิ้มอุปกรณ์ที่ถืออยู่ แม้ว่าจะมีคนเยอะแค่ไหนที่แอบชำเลืองด้วยหางตา แต่อิเห็นจะไม่แคร์สื่อ ไม่แคร์แม้ว่าคนอีกค่อนคันรถต้องทรงตัวอยากยากลำบากเพราะไม่มีเสาให้เกาะก็ ตาม
อิเห็น เป็นชื่อสั้นๆเพื่อความสะดวกในการเรียก มาจากชื่อสามัญเต็มๆว่า อิเห็นแก่ตัว พบมากที่สุดคือตัวเมีย ถ้าเป็นตัวผู้จะเรียกว่า อ้ายเห็น
นี่คืออิเห็นตัวล่าสุดที่ข้าพเจ้า ได้พบ พบเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2554 บนรถใต้ดิน MRT เป็นอิเห็นที่แสดงลักษณะนิสัยออกมาชัดเจนที่สุด ไม่แคร์สื่อแม้คนรอบๆจะมองด้วยสายตารังเกียจ และไม่แคร์มือน้อยๆก็สุภาพสตรีท่านหนึ่งที่พยายามจะขอเกาะเสาด้วยการเอามือ ไปเกาๆ แต่ก็สู้ความหนาของชั้นไขมันท่อนแขนอิเห็นตัวนี้ไม่ไหว ไม่แคร์แม้กระทั่งว่ามีสุภาพบุรุษอายุประมาณ 60 กว่าปีท่านหนึ่งไม่มีเซแล้วเซอีก เพราะเกาะราวด้านบนไม่ถึง แต่ก็เกาะเสาไม่ได้ เพราะอิเห็นยึดครองพื้นที่เสาไว้เล่นไอแพ็ดเรียบร้อยแล้ว
ที่มา http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F10612218/F10612218.html
หลังจากที่ลองผิดลองถูก (ตอนนี้ก็ยังลองผิดอยู่ยังไม่คืบหน้า ไม่ได้พัฒนาเอาซะเลยเน้อ) ศึกษาวิธีหาเงินจากระบบอินเตอร์เน็ตในส่วนของการเป็นนายหน้าขายสินค้าจากอเมซอน มาหลายเดือน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หลังจากตัดสินใจเช่น host จรข้ จดโดเมน แล้วลองเริ่มศึกษาทำงานด้านนี้ มาเรื่อยๆ จับหลายทาง ทั้ง google adsense ,ziddu,outpersonal,linkbucks ซึ่งทั้งหมดก็เริ่มได้รับค่าตอบแทนกลับมาแล้วอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ linkbuck ตอนนี้เลิกทำแล้ว หันมาเน้นที่ outpersonal กับ amazon แทน
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634397572091198750
งานของกรมส่งเสริมที่สมัครไว้ไปสอบมาแล้วคั้บที่ ม ราม 2 อยากจะบอกว่าทำข้อสอบไม่ได้เลย ประกาศผลสอบวันที่ 10 มิถุนายน เว็บไซต์กรมส่งเสริม ไม่รู้จะได้ลุ้นไรกะเขาหรือเปล่า สามร้อยกว่าคน คัดเอา 20 คน พูดแล้วน้ำตาจะเล็ด
นี่แหละน้าชีวิตคนเรา มันไม่มีอะไรที่แน่นอนเสมอไป ไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนใคร ใครจะไปวันไหน ก็คงต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างระมัดระวัง และคุ้มค่าที่สุด
บริเวณป้ายรถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ (งามวงศ์วาน)
ตอนกลางดึก (หลังห้างปิด) แล้วเนี่ย ผีดุเป็นบ้า
ลือกันเป็นตุเป็นตะว่า เคยมีแท็กซี่หลายคันถูกผู้หญิงผมยาวเรียกจากหน้าห้างฯ
ให้ไปส่งที่วัดสมรโกฏิ ถนนรัตนาธิเบศร์
พอคนขับแท็กซี่ขับไปถึงหน้าวัดปรากฏว่าผู้โดยสารผู้หญิงผมยาวคนนั้นก็หายตัวไป
เป็นที่เลื่องลือกันว่าผีที่หน้าห้างเดอะมอลล์งามวงศ์วานนี้
คือหญิงสาวที่เคยใช้ที่จอดรถของห้างฯ เป็นที่ฆ่าตัวตาย
จนปัจจุบันนี้ห้างฯได้ทำลวดตาข่ายมาอ๊อกปิดไว้หมดทุกด้าน
เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครมาใช้เป็นสุสานอีก
แต่ก็ยังไม่วายมีข่าวมาเรื่อย ๆ ว่ามีคนกระโดดตึกตายที่นี่เป็นประจำ
เรื่องข่าวลือนี้ นายกล้าโชเฟอร์แท็กซี่ (มือใหม่) ที่เพิ่งมาหางานทำในกรุงเทพฯ ก็ได้ยินมาเหมือนกัน
แต่ความที่แกเป็นคนกล้าสมชื่อ แกจึงไม่เชื่อ
แล้วแกยังคงวนเวียนรับ-ส่งผู้โดยสารแถวงามวงศ์วานและใกล้เคียงเป็นประจำ
เพราะรายได้ดีเนื่องจากแถวนี้ตอนดึก ๆ ไม่ค่อยมีแท็กซี่กล้าขับผ่านมา
เรื่องของเรื่องคือมีอยู่วันหนึ่งดึกมากแล้ว นายกล้าขับรถผ่านหน้าห้างเดอะมอลล์ฯ
ก็ปรากฏว่ามีผู้หญิงสาวสวยไว้ผมยาวสยาย ยืนโบกรถอยู่หน้าห้างฯ
ฉับพลันที่เห็น นายกล้าก็นึกไปถึงเรื่องที่เพื่อน ๆ ชาวแท็กซี่โจษขานถึงเรื่องผีดุกันขึ้นมาทันที
แต่ความที่แกเป็นคนกล้า ประกอบกับผู้หญิงคนนั้นก็ดูว่าเป็นคนชัดๆ
แกจึงจอดรถเข้าไปรับ พอหญิงสาวเปิดประตูรถ
กลิ่นน้ำหอมฉุนกึกก็ปะทะจมูกของนายกล้าทันที
'โชเฟอร์ ไปแถววัดธาตุทองนะ จะไปมั้ย?' หญิงสาวถาม
'ไปครับผม' นายกล้าตอบ ในใจคิดว่า ไม่ใช่วัดสมรโกฏิ แบบที่ลือกันนี่หว่า
หญิงสาวก้าวขึ้นนั่งที่เบาะหลังพร้อมกับบอกนายกล้าว่า 'ไปทางด่วนนะ'
นายกล้ากดมิเตอร์แล้วออกรถขับตรงไปขึ้นทางด่วนงามวงศ์วาน
กลางดึกเช่นนั้นทางด่วนเงียบสนิท นาน ๆ ถึงจะมีรถขับมาสักคัน
กลิ่นน้ำหอมของหญิงสาวยังเตะจมูกอยู่ บรรยากาศเงียบเชียบชวนอึดอัด ถึงนายกล้าจะกล้าเพียงไรก็ตามแต่แกก็อดชำเลืองมองกระจกส่องหลังไม่ได้
เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา แกก็เลยชวนคุยเพื่อทำลายบรรยากาศอันอึดอัดนี้
'รอรถนานมั้ยครับ' นายกล้าถาม
'นานสิ แท็กซี่หายไปไหนหมดไม่รู้' หญิงสาวพูดเรื่อย ๆ
'ก็มีข่าวลือเรื่อง เอ้อ เรื่องผีแถวนี้ดุสิครับเลยไม่ค่อยมีแท็กซี่คันไหนกล้าวิ่งแถวนี้'
นายกล้าตัดสินใจพูดหยั่งเชิงเพื่อดูท่าทีหญิงสาว
หญิงสาวหันขวับมามองนายกล้าทันที
'มิน่าล่ะ เมื่อกี้ฉันเรียกตั้งหลายคันไม่มีใครจอดเลย แล้วนายไม่กลัวเหรอ?' หญิงสาวถาม
นายกล้ากลืนน้ำลาย 'เอ้อ ไม่กลัวครับ'
'ก็ดี' หญิงสาวพูดพร้อมกับหันไปมองที่หน้าต่าง
นายกล้าขับรถต่อไปเรื่อย ๆ บรรยากาศกลับเงียบสงัดอีกครั้ง
เงียบ จนนายกล้าได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองเพียงคนเดียว!
นายกล้าแหงนขึ้นไปมองกระจกส่องหลังเมื่อนึกขึ้นได้
ทันใดนั้น!
หัวใจของแกแทบจะหยุดเต้น เมื่อเห็นภาพในกระจก เบาะหลังว่างเปล่า
ไม่มีแม้แต่เงาของผู้หญิงผมยาวที่นั่งคุยมาด้วยกัน เมื่อกี้นี้เลย!
'ชิบหายแล้วกู !!! เนี่ยเขาว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โดนดีเข้าแล้วมั้ยล่ะ'
นายกล้าคิดขณะที่กลิ่นน้ำหอมฉุนของผู้หญิงสาวยังคงคลุ้งอยู่ในรถ
มือที่กำพวงมาลัยสั่นสะท้าน เหงื่อแตกพลั่กทั้งที่แอร์ในรถเย็นเฉียบ
ขาของนายกล้าที่เหยียบคันเร่งชาจนแทบจะไม่รู้สึกแล้ว
บทสวดมนต์กี่บท ๆ ที่นึกได้ นายกล้าท่องจนหมด
กลิ่นน้ำหอมก็ไม่หายไปไหน ยังลอยอบอวลคลุ้งอยู่ในรถ
แถมบางครั้งยังแรงขึ้นด้วยซ้ำไป
มนต์บทแล้วบทเล่าที่นายกล้าท่อง ไม่ได้ทำให้กลิ่นน้ำหอมจางลงเลย
นายกล้าแหงนขึ้นมองกระจกอีกครั้ง เบาะหลังก็ยังว่างเปล่าอยู่
มีแต่กลิ่นน้ำหอมเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่า 'เธอ' ยังไม่ไปไหน
นายกล้าเหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดชีวิต
ในใจก็อาราธนาพระดัง ๆ ทั่วเมืองไทยให้มาอยู่เป็นเพื่อนเขา
ใจอยากบึ่งไปให้ถึงวัดธาตุทองเร็ว ๆ เผื่อว่ากลิ่นน้ำหอมจะหายไป
เพราะ 'เธอ' คงต้องการไปลงที่นั่นจริง ๆ
'โอ๊ย มาไกลเหลือเกินนะแม่คุณ' นายกล้าคิดในใจ ขณะที่ยังคงเหยียบคันเร่งมิด
นายกล้ามารู้สึกตัวอีกทีเมื่อรถมาติดไฟแดงตรงเชิงทางด่วน
นายกล้าสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่ 3 ครั้ง
ก่อนกลั้นใจแหงนหน้าขึ้นไปมองกระจกส่องหลัง
และแล้วนายกล้าก็แทบจะหัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง มือเท้าเย็นวาบ แทบจะหมดแรง
ขนลุกซู่ทั้งตัวเหมือนใครเอาน้ำแข็งมาโปะต้นคอ
ภาพที่ทำให้นายกล้าแทบช็อกก็คือ หญิงสาวคนเดิมมาปรากฏตัวที่เบาะหลังอีกครั้ง
แต่คราวนี้หน้าตาเธอเปลี่ยนไป!
ใบหน้าของเธอมีเลือดไหลออกทางจมูกและปาก
นายกล้าตัดสินใจรวบรวมความกล้าอีกครั้ง
เป็นไงเป็นกันวะ ไหน ๆ ก็ไหนๆ แล้ว จะถามให้รู้เรื่องกันไป
ว่าเธอต้องการอะไรแน่ ทำไมไม่ไปผุดไปเกิด
พอคิดได้ดังนั้นนายกล้าก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับ 'เธอ' ผู้นั้น
ก่อนที่จะถามเป็นคำถามแรกว่า
'คุณเป็นอะไรตาย?'
'ตายพ่อตายแม่มึงสิ' เสียงหญิงสาวคนนั้นตอบดังลั่นรถ
' ไอ้ห่า! กูก้มลงไปแต่งหน้าหน่อยเดียว มึงทั้งเบรค ทั้งเหยียบซะหน้าตากูแหกหมด
แล้วยังเสือกมาถามอีกว่าเป็นอะไรตาย'
ตารางเปรียบเทียบความสามารถของโทรศัพท์มือถือ : (cc-by @iannnnn 25 ก.พ.54)
|
จนปัจจุบันได้ขยายขอบข่ายของสินค้าที่จำหน่ายบนเว็บไซต์แห่งนี้ได้อย่างครบคลุมเกือบทุกประเภท
มิหนำซ้ำยังให้ราคาที่ดีกว่าเว็บไซต์บางแห่งอีกด้วย สำหรับเรื่องค่านายหน้าที่ได้รับจะอยู่ที่ 4 - 8.5%
ของราคาขาย ขึ้นอยู่กับหมวดสินค้า
การสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ Amazon ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ผู้ที่สมัครจะต้องมีบล็อก
หรือเว็บไซต์ของตัวเองก่อน แล้วนำเว็บไซต์ที่คิดว่าดูดีที่สุด มีเนื้อหาสาระอยู่แล้วพอสมควรไปสมัคร
กับทาง Amazon.com ด้วยการเข้าไปที่เว็บไซต์ Amazon.com แล้วคลิกที่ Join Associate
(อยู่เมนูข้างล่างสุด)แต่ที่สำคัญนั้นมีข้อแนะนำจากท่านผู้รู้ว่าไม่ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีการติดโฆษณา
อยู่แล้วไปสมัคร
ลักษณะของการเป็น Affiliate กับทาง Amazon นั้น จะเป็นการนำสินค้าที่วางอยู่บนเว็บ Amazon
มาจำหน่าย ซึ่งทำให้เราสามารถสร้างร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่างได้ เช่น
ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายเครื่องตัดหญ้า ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ร้านขายเสื้อผ้า
ร้านขายเครื่องครัว เป็นต้น หรืออาจจะทำเป็นร้านขายสินค้าหลากหลายในร้านเดียวก็ได้
โดยการสร้างร้านค้า หรือที่เรียกว่า astore นั้นก็ไม่ยากเย็นเข็ญใจตรงไหน เพียงนำแบนเนอร์
(Banner) ที่เราสร้างไว้กับทาง Amazon.com ไปติดที่หน้าเว็บไซต์หรือบล็อกของตนเองได้เลย
สำหรับค่าCommission ที่ท่านจะได้จากการขายสินค้าให้กับ Amazon.com นั้น ซึ่งปัจจุบัน
Amazon Associates กำหนดไว้ต่ำสุดที่ 4% และสูงสุดที่ 8.5% ยกเว้นหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้
4% แต่ไม่เกิน $25 ต่อชิ้น เช่น ถ้าเราขายทีวีได้ในราคา $2,000 เราก็จะได้ $25 ซึ่งจริงๆ
แล้วเราควรจะได้ $80 (2,000x4% = 80) แต่ก็มีสินค้าบางกลุ่มที่สามารถได้รับค่าคอมมิสชั่น
สูงถึง 10% และ 15%
ส่วนการชำระเงินค่านายหน้าของ Amazon จะจ่ายเป็นเช็คหรือโอนเข้าบัญชีธนาคาร
โดยหลังจากสมัครและเริ่มทำการขายสินค้าไปแล้ว 2 เดือน หากทำยอดถึงที่กำหนด
ทางอเมซอนก็จะทำการจ่ายเงินค่านายหน้าให้ท่าน และหลังจากนั้นจะจ่ายเงินให้ท่านทุกเดือน
หากทำยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ โดยการเงินจ่ายผ่านธนาคารจะต้องมียอดเงินขั้นต่ำอยู่ที่
10 ดอลลาร์ และถ้าจ่ายเป็นเช็ค จะต้องมียอดเงินขั้นต่ำอยู่ที่ 100 ดอลลาร์
วิธีสมัคร Amazon Affiliate Program
คราวนี้เรามาทำการสมัครเป็นผู้ร่วมขายสินค้าให้กับ Amazon กันเลยครับ
ช่วยชาติดูดเงินดอลล่าเข้าประเทศ เงินไทยไม่รั่วไหลออกนอกครับ
วิธีสมัคร Amazon Affiliate
1. เข้ามาที่เว็บ
https://affiliate-program.amazon.com/
2. คลิกที่ Apply now
3. กรอกข้อมูล อีเมล์ ที่สามารถติดต่อได้ จากนั้นทำการ ติ๊ก ที่ No, I am a new customer.
เสร็จแล้วกดที่ Sign in using our secure server
4. กรอกข้อมูลที่เป็นจริง พร้อมตั้งพาสเวิร์ด เสร็จแล้วกดที่ Continue
5. กรอกข้อมูลส่วนตัวที่เป็นจริง (ตรวจสอบชื่อที่อยู่ให้ถูกต้อง เพราะ amazon จะส่งเช็คมาให้ตามชื่อที่อยู่นี้)
6. กรอกข้อมูลเว็บไซต์ของคุณโดยละเอียด
ของผมเป็น athirach.blogspot.comถ้าคุณยังไม่มีเว็บไซต์หรือบล็อค
ผมแนะนำให้ไปสมัครใช้บริการของ www.blogger.com ก่อนครับ
จากนั้นยอมรับกฎของทางเว็บโดย ติ้ก ที่ Contract Terms เสร็จแล้วกดที่ Finish
เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการสมัคร
7. จากนั้นทาง amazon จะบอกว่าเราสมัครเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ให้เรากดที่ Specify Payment Method Now เพื่อยืนยันวิธีรับเงิน
8. ให้เราเลือกการรับเงินเป็นแบบเช็ค (เราสามารถเปลี่ยนรูปแบบการรับเงินภายหลังได้)
วิธีสร้าง aStore Amazon
วิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าด้วยตนเอง และเลือกโดยAmazon
วิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าด้วยตนเอง
1.ท่านเข้าไปในบัญชีของท่านใน http://affiliate-program.amazon.com/
2เมื่อเข้าไปแล้วต่อไปให้ท่านเลือกคลิกที่เมนู aStore
3.เมื่อเปิดหน้าใหม่ ให้คลิกที่ Add an aStore
4.ต่อไปเป็นการเลือก Tracking ID เขานิยมตั้งให้สอดคล้องกับสินค้าที่เราจะขาย
เช่น สินค้าตัวนั้นชื่อ Omron เขาจะตั้งว่า buy.cheap.omron(ใส่จุดคั่นแต่ละตัว)
เมื่อคลิก Search แล้วใช้ได้ (available) ก็ให้คลิกต่อไปที่ Continue
5.เมื่อมาถึงหน้า Create aStore Pages ให้คลิกที่ Add Category Page
ตรงช่องCategory Title ใส่ชื่อสินค้า เช่น Sony
6.การเลือกสินค้ามีให้เลือก 3 ทาง แต่ในที่นี้เป็นการอธิบายเรื่องการเลือกสินค้าด้วยตัวท่านเอง
ดังนั้นให้เลือก Add individual product และคลิกที่ Add product
7.เมื่อหน้าใหม่ขึ้นมา ตรงที่ Search ให้เลือกหมวดสินค้าช่องบนก่อน แล้วใส่ชื่อสินค้าในช่องล่าง
จากนั้นคลิก Go ก็จะมีสินค้าขึ้นมาให้เลือก อยู่ทางข้างขวามือ ท่านอยากได้สินค้าตัวไหน
ก็คลิกคำว่า Add ข้างหน้าของสินค้าตัวนั้น รูปของสินค้าตัวนั้นก็จะมาปรากฏที่ช่องล่างสุด
ให้คลิกสินค้าได้จำนวนไม่เกิน 540 ชิ้น(จะน้อยกว่าก็ได้) จนพอกับความต้องการ
8.พอได้สินค้าใน category แรกตามจำนวนต้องการแล้ว หากต้องการสินค้าcategory อื่น
ก็คลิกที่ Back to Category แล้วดำเนินการเหมือน category แรก เมื่อได้สินค้าในCategory
ต่างๆครบถ้วนแล้ว ก็ให้ท่านคลิกที่ Save changes และ Continue
9.หน้านี้เป็นองค์ประกอบของหน้าสินค้าของท่าน ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ให้คลิกที่ Continue
10.มาถึงหน้า Sidebar Widgets ไม่ต้องทำอะไร ให้คลิกที่ Finish & Get Link
11ใมาถึงหน้า Your store has been published คือหน้าที่ท่านจะเอาลิงค์ aStore
ไปโปรโมท หากท่านจะนำไปโปรโมทด้วยการนำไป add url ตามเว็บดังๆ เช่น google,yahoo
ก็นำลิงค์จากช่อง Simple link to my store as a standalone site ไปใช้
หากท่านจะเอาไปใส่โฆษณาลงใน blog ของ blogger.com ของท่าน โดยใส่ลงในช่อง
HTML/java Script ก็เอาลิงค์จากช่อง Embed my store using an inline frame ไปใช้
ครับขั้นตอนมีเท่านี้ครับผม.
---------------------------------------------------------------
วิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าโดย Amazon
1.ท่านเข้าไปในบัญชีของท่านใน http://affiliate-program.amazon.com
2ใเมื่อเข้าไปแล้วต่อไปให้ท่านเลือกคลิกที่เมนู aStore
3.เมื่อเปิดหน้าใหม่ ให้คลิกที่ Add an aStore
4.ต่อไปเป็นการเลือก Tracking ID เขานิยมตั้งให้สอดคล้องกับสินค้าที่เราจะขาย
เช่น สินค้าตัวนั้นชื่อ Omron เขาจะตั้งว่า buy.cheap.omron(ใส่จุดคั่นแต่ละตัว)
เมื่อคลิก Search แล้วใช้ได้ (available) ก็ให้คลิกต่อไปที่ Continue
5.เมื่อมาถึงหน้า Create aStore Pages ให้คลิกที่ Add Category Page
ตรงช่องCategory Title ใส่ชื่อสินค้า เช่น Sony
6.การเลือกสินค้ามีให้เลือก 3 ทาง แต่ในที่นี้เป็นการอธิบายเรื่องการเลือกสินค้าโดย Amazon
ดังนั้นให้เลือกที่ Add products by Amazon.com
และคลิกที่ Select an Amazon Category
7.จากนั้นก็จะมีหมวดสินค้ามาให้เลือก ตรวจดูว่าท่านจะเลือกสินค้าหมวดใด
เมื่อเลือกหมวดสินค้าเสร็จแล้ว จากนั้นคลิกทำเครื่องหมายถูกหน้า
Include all subcategories for this category
แล้วคลิก Save Changes และ Continue
8.หน้าต่อไปเป็นองค์ประกอบของหน้าสินค้าของท่าน ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ให้คลิกที่ Continue
9.มาถึงหน้า Sidebar Widgets ไม่ต้องทำอะไร ให้คลิกที่ Finish & Get Link
10.มาถึงหน้า Your store has been published คือหน้าที่ท่านจะเอาลิงค์ aStore ไปโปรโมท
-หากท่านจะนำไปโปรโมทด้วยการนำไป add url ตามเว็บดังๆ เช่น google,yahoo ก็นำลิงค์จาก
ช่อง Simple link to my store as a standalone site ไปใช้
-หากท่านจะเอาไปใส่โฆษณาลงใน blog ของ blogger.com ของท่าน โดยใส่ลงในช่อง
HTML/java Script ก็เอาลิงค์จากช่อง Embed my store using an inline frame ไปใช้
ครับขั้นตอนมีเท่านี้ครับผม.
7 ข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการทำโฆษณาให้ Amazon
1. เลือกสินค้าที่ไม่ดีมาทำโฆษณา
เรื่องนี้ Amazon Affiliate มือใหม่จำนวนมากจะเป็นครับ เพราะหลายๆ คนพอเริ่มลองทำโฆษณา Amazon ก็ไม่รู้ว่า ควรจะเลือกสินค้าอย่างไรดี ไม่รู้วิธีการดูว่าสินค้าไหนที่มีโอกาสทำกำไรได้ ไม่เคยคำนวณรายรับ รายจ่าย กำไรของแต่ละสินค้าก่อนทำโฆษณาเลยสักนิดเดียว
ยังไงพยายามใช้เวลาในการเลือกสินค้าให้มากขึ้น ศึกษาและเปรียบเทียบสินค้าแต่ละชิ้น แล้วเลือกสินค้าที่มีโอกาสทำกำไรได้มากที่สุดมาทำโฆษณาก่อนเสมอจะดีที่สุดครับ
2. ใช้ Keywords กว้างเกินไป ทำให้คนซื้อน้อย และ Conversion Rate
ต่ำ
อย่างหนึ่งที่เราต้องรู้คือ สินค้าที่คนซื้อจาก Amazon ส่วนมากแล้ว จะเป็นสินค้าที่มีราคาไม่แพงมากเกินไปนัก ดังนั้นถ้าหากเราใช้ Keywords กว้างเกินไปจะทำให้ค่า Conversion Rate เราต่ำมากๆ จึงทำให้รายได้ที่เราได้จากการโฆษณาไม่คุ้มกับค่าโฆษณาที่เสียไปครับ
ดังนั้นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือ พยายามใช้เฉพาะ Keywords ที่เจาะจงมากๆ เท่านั้นเพื่อให้ทุกคนที่คลิกเข้ามา กลายเป็นผู้ซื้อสินค้าให้มากที่สุดครับ
3. เขียนข้อความโฆษณาได้ไม่ดี
คนที่เพิ่งทำโฆษณาใหม่ๆส่วนมาก จะไม่ยอมเขียนรายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน จะเขียนโฆษณาเพียงแค่แนะนำให้คนเข้าไปซื้อสินค้าใน Amazon เท่านั้น ซึ่งคนส่วนมากก็จะไม่คลิก และถึงคลิกก็ไม่ค่อยซื้อสินค้าอย่างแน่นอนครับ นอกจากนั้นแล้ว การเขียนโฆษณาไม่ดียังทำให้ CTR ของเราต่ำทำให้ค่าบิดเราแพงกว่าคนอื่นๆด้วยครับ
แนะนำให้ทุกคนเขียนข้อความโฆษณาให้เจาะจงและเหมาะกับ Keywords ที่เราใช้ครับ พยายามนำ Keywords ไปใส่ในหัวข้อโฆษณาและใส่รายละเอียดที่สำคัญของสินค้าลงไปในโฆษณาด้วยครับ
4. ใช้ Landing Page ที่ไม่เหมาะสม
หลายคนที่ทำโฆษณา Amazon มักจะส่งคนคลิกโฆษณาไปยังหน้า Homepage หรือหน้าเปรียบเทียบสินค้าหลายๆอย่าง เพราะคิดว่าคนคงจะไปตามหาสินค้าที่ตนเองต้องการได้ แต่ผิดถนัดครับ คนบนโลกออนไลน์มักจะไม่ค่อยชอบเสียเวลาหาสินค้าเองสักเท่าไหร่ ทำให้การใช้ Landing Page อย่างนี้ เรามักจะมีแต่คลิกอย่างเดียว แต่ไม่มี Order เลยสักอัน
ดังนั้นต่อไปขอให้เราทำโฆษณาโดยส่งคนไปยังหน้า Landing Page ที่เจาะจงมากที่สุด ก็คือ หน้ารายละเอียดของสินค้านั่นเองครับ และจากเท่าที่ได้พูดคุยกับ Amazon Super Affiliate ทั้งหลาย ก็พบว่า หน้าที่คนเหล่านี้ใช้เป็น Landing Page กัน ก็คือ หน้ารายละเอียดของสินค้านั่นเอง
5. ไม่ยอมทำการวัดผลโฆษณา หรือ ไม่มีรูปแบบการวัดผลที่ดีพอ
การวัดผลโฆษณาของ Amazon เป็นอะไรที่ลำบากกว่าการวัดผล Affiliate Program เจ้าอื่นๆ เพราะต้องทำเยอะมาก ส่งผลให้หลายๆ คนไม่ยอมทำการวัดผลเลย หรือบางคนทำแล้วแต่ไม่ทำการวัดผลที่ละเอียดพอ ก็ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้น ให้ทำกำไรมากขึ้นได้
คำแนะนำเดียวเลยครับว่า ถ้าหากเราไม่ทำการวัดผลโฆษณา เราย่อมไม่สามารถทำกำไรได้แบบยั่งยืน ดังนั้นต่อให้ต้องเหนื่อย ต้องเก็บรายละเอียดมากแค่ไหนเราก็ควรต้องทำการวัดผล เพื่อให้เราทราบสถานะธุรกิจของเราอยู่เสมอครับ
6. ไม่ยอมศึกษาและวิเคราะห์สถิติต่างๆให้ดี
สถิติต่างๆที่เราหามาได้ ไม่ว่าจะเป็นจากการวัดผลของเราเอง หรือ จากการใช้เครื่อง มือต่างๆหามาได้ มีความสำคัญมาก แต่คนทั่วไปกลับไม่ค่อยเห็นคุณค่า และมักจะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้อยู่เฉยๆ ไม่ยอมนำมาวิเคราะห์เพื่อศึกษาหาแนวทางใหม่ๆในการทำธุรกิจทำให้สุดท้ายแล้ว เราก็จะเริ่มถูกคู่แข่งของเราไล่ตามเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และอาจจะแซงเราไปในที่สุดครับ
ยิ่งเราสามารถวิเคราะห์และนำสถิติมาใช้ในการทำธุรกิจได้เยอะเท่าไหร่ เรายิ่งจะประหยัดเวลา และ เพิ่มกำไรในธุรกิจได้มากขึ้นเท่านั้นครับ ดังนั้นเริ่มจาก วันนี้ครับ ลองเข้าไปดู Report ต่างๆของ Amazon ลองมองให้เข้าใจว่า แต่ละคอลัมน์สื่อถึงอะไรบ้าง และข้อมูลอะไรที่เราสามารถนำไปใช้ได้บ้างครับ
7. ไม่ยอมติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นต่างๆ
Affiliate จำนวนมาก มักจะหมกหมุ่นอยู่กับการทำโฆษณาสินค้ามากเกินไป จนลืมที่จะอ่านข้อมูลข่าวสารอื่นๆรอบๆตัว ทำให้หลายๆครั้ง แม้เราจะเก่งโฆษณาแค่ไหนก็ตาม ก็อาจจะทำเงินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเราไม่สามารถหาโอกาสงามๆให้เราได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ครับ
ทาง Amazon จะแจ้งข่าวสารและโปรโมชั่นสินค้าใหม่ๆให้ทาง Affiliate รับรู้อยู่เสมอ ขอให้เราใช้เวลาสักวันละ 20 นาทีในการอ่านข่าวสารใหม่ๆครับ รับรองว่าเราจะเก่งขึ้นและทำเงินได้มากขึ้นเองโดยอัตโนมัติเลยครับ
เมื่อรับรู้ข้อผิดพลาดทั้ง 7 ข้อแล้ว ก็อย่าลืมดูนะครับว่า ที่เรายังไม่ประสบความสำเร็จนั้น เรากำลังทำผิดในข้อไหนอยู่หรือเปล่า ก็ขอให้รีบแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ รับรองว่าวันหนึ่งต้องกลับมาทำกำไรได้แน่นอนครับ
การหา Keywords มาทำโฆษณา Amazon
เนื่องจากถ้าหากเราต้องการทำโฆษณาสินค้า Amazon ผ่านทาง PPC แล้ว การหา Keywords นั้น
เป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญกับเรามากๆ ครับ เราสามารถเปรียบ Keywords ได้กับทรัพย์สินของเรา
เลยทีเดียว เพราะถ้าหากเราหา Keywords ที่ดีมาทำโฆษณาสินค้าและทำกำไรให้เราได้
เราก็จะสบายไปได้ชั่วชีวิตเลยทีเดียว
ทีนี้ Keywords ที่ดี คืออะไร?
คนส่วนมากจะมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มาก เพราะคนทั่วไปจะคิดว่า Keywords ที่ดี คือ Keywords ที่มี
คนค้นหาเยอะและคลิกเยอะ แต่ความจริงแล้ว Keywords ที่ดี และเหมาะสมในการทำโฆษณาจริงๆ ก็คือ
Keywords ที่มีอัตราคนซื้อสินค้าสูงครับ (Conversion Rate และ ROI สูง) เพราะคงจะไม่มีใครอยากจะให้
โฆษณาของเรามีคนเห็นเยอะ คลิกเยอะ แต่ไม่มีคนซื้อ อย่างแน่นอน ถูกต้องไหมครับ
และเนื่องจากเราได้ค่าคอมมิสชั่นจาก Amazon ประมาณ 4% - 8.5% เท่านั้น
ซึ่งเมื่อมาคิดดูแล้วก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงควรจะต้องประหยัดงบโฆษณาให้มากที่สุด
ด้วยการเลือก Keywords ที่มีคนซื้อมากๆครับ (ไม่ใช่คลิกมากๆ แต่ไม่ซื้อ) ซึ่ง Keywords เหล่านั้น
ก็คือ Buying Keywords นั่นเองครับ โดยเราสามารถคิดค้นและค้นหา Buying Keywords เหล่านี้ได้จาก
1. Brain Storming
ให้เราทำการสำรวจรายละเอียดต่างๆ ของสินค้า ทั้งหมวดหมู่สินค้า ชื่อรุ่น ชื่อยี่ห้อต่างๆ ที่เราสามารถนำมาใช้เป็น Keywords ได้ ก็ให้นำมาใช้ครับ เพราะ Keywords เหล่านี้ มีเปอร์เซ็นต์ที่คนค้นหาแล้วจะซื้อสูงครับ
2. Keyword Tools
ให้เราลองค้นหา Keywords อื่นๆเพิ่มเติม โดยเฉพาะ Keywords ที่คนทำการค้นหาบน Google ด้วยเครื่องมือฟรีที่ทาง Google จัดหามาให้ครับ และแน่นอนให้เราดูด้วยว่า แต่ละ Keywords นั้น มีคนค้นหาต่อวัน ต่อเดือนเป็นจำนวนเท่าไหร่ คุ้มค่าหรือไม่ที่จะนำมาทำโฆษณาครับ
=> https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal
และนอกจากนั้น เราก็ควรจะศึกษาแนวโน้มและความนิยมในแต่ละ Keywords ด้วยว่า Keywords ไหนมีคนค้นหามากน้อย ในช่วงเวลาใดครับ ด้วยบริการฟรีจาก Google อีกเช่นกัน
=> http://www.google.com/insights/search/
3. ทำการสร้างกลุ่ม Keywords ที่จะมีคนซื้อสินค้ามากขึ้น ด้วยการเติมคำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้า เช่น buy, cheap, best prices, cheap price ลงไปให้กับ Keywords ที่เราเลือกไว้ครับ ซึ่งแน่นอนว่า เราอาจจะเติมด้วยตนเองก็ได้ แต่ก็อาจจะเสียเวลามากหน่อย หรือเราอาจจะใช้เครื่องมือในการเติมคำเหล่านี้ลงไปก็ได้
=> http://www.keywordcool.com
เพียงเท่านี้ Keywords ที่หามาได้ ก็จะกลายสภาพเป็น Buying Keywords ที่พร้อมจะมีคนซื้อเยอะแล้ว
ให้ลองทำไปทำโฆษณาได้เลยครับ
การเลือกสินค้าและเปรียบเทียบราคาของ Amazon
การทำ Affiliate ให้กับเว็บไซต์ที่มีสินค้าประเภท Consumer Product หลากหลาย ชนิดอย่าง Amazon นั้น วิธีและขั้นตอนในการเลือกสินค้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะยิ่งเราเลือกสินค้าที่ดีมาทำโฆษณาได้เท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสทำกำไรได้ง่ายขึ้นเท่านั้นครับ
และสิ่งที่เราควรจะทำก่อนตัดสินใจเลือกสินค้าชิ้นหนึ่งๆ มาทำโฆษณาก็คือ การเปรียบเทียบราคาสินค้าชิ้นนั้นกับท้องตลาดเพื่อดูว่า ราคาที่ขายใน Amazon เมื่อเทียบกับ ราคาที่ขายบนเว็บไซต์อื่นๆแล้ว มากน้อยกว่ากันอย่างไร
ถ้าหากเปรียบเทียบกันแล้ว สินค้าใน Amazon มีราคาถูกกว่า ที่วางขายในเว็บไซต์อื่นๆทั้งหมด (ที่วางขายตามห้างไม่ต้องพูดถึง เพราะ Amazon ถูกกว่าเยอะอยู่แล้ว) ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่ดีมาก ในการนำสินค้าชิ้นนี้มาทำโฆษณา เพราะว่า คนทั่วอินเตอร์เน็ตจะต้องแห่มาซื้อสินค้าชิ้นนี้จากใน Amazon ครับ
แต่ถ้าหากว่ามีบางเว็บไซต์ที่ขายสินค้าราคาถูกกว่า Amazon ก็ให้เราดูด้วยว่าสินค้าที่สั่งจากเว็บไซต์นั้น คิดค่าส่งด้วยหรือเปล่า ถ้าคิดก็ต้องนำมารวมด้วยก่อนจะไปเทียบกับ Amazon และให้ดู Review ของคนที่เคยซื้อสินค้าจากเว็บไซต์นั้นๆ ว่า ดีแค่ไหน ครับ เพราะส่วนมาก ถ้าหากถูกกว่ากันนิดหน่อย แต่ว่าเว็บไซต์ที่ราคาถูกกว่านั้น บริการไม่ดี ไม่น่าเชื่อถือ คนก็จะมาซื้อกับ Amazonครับ
แต่ถ้าหากว่าเว็บไซต์ที่ขายราคาถูกกว่าเป็นเว็บชื่อดังอย่างพวก CircuitCity ก็ให้ระวังๆ ไว้นิดนึงครับ เพราะคนอาจจะแห่กันไปซื้อจากเว็บไซต์เหล่านั้นได้ครับ
สำหรับการเปรียบเทียบราคาสินค้านั้น เราสามารถเข้าไปเปรียบเทียบได้ง่ายๆ ด้วยเว็บไซต์เหล่านี้ครับ
1. PriceScan
เพียงแค่พิมพ์ชื่อยี่ห้อ ชื่อรุ่นสินค้าลงไป เราก็จะทราบได้ทันทีว่า สินค้านี้มีวางขาย อยู่ที่เว็บไซต์ไหนอีกบ้าง และ แต่ละเว็บไซต์ขายราคาเท่าไหร่ รวมทั้งดูได้ด้วยว่า ส่งสินค้าฟรีหรือเปล่าครับ
นอกจากนั้น เรายังสามารถเข้าไปดูกราฟ แนวโน้มราคาได้ว่า เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร เพื่อนำไปวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการทำกำไร และใช้ในกลยุทธการตั้งราคาบิดได้ครับ
2. Google Product
ยี่ห้อ Google ก็การันตีความเจ๋งได้ระดับนึงครับ เว็บไซต์นี้เป็นแหล่งรวมของสินค้าต่างๆ ที่มีวางขายอยู่บนอินเตอร์เน็ต ที่ให้ผู้ขายสามารถเข้ามาเขียนแนะนำสินค้าได้ฟรี ดังนั้นเว็บไซต์จำนวนมากจึงมาเขียนแนะนำสินค้าไว้ที่นี่
ซึ่งเราก็เลยสามารถนำมาทำการค้นหา สินค้าที่เราต้องการได้ด้วยเช่นกันว่าสินค้านี้มีวางขายที่ไหนอีกบ้าง และขายในราคาเท่าไหร่ มีคนพูดถึงเว็บไซต์ที่ขายว่าอะไรบ้าง
3. mPire
เป็นอีกเว็บนึ่งที่น่ารัก และให้ข้อมูลที่ดี กล่าวคือ เว็บไซต์นี้นอกจากจะบอกว่าสินค้ามีวางขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่แล้ว ยังจะบอกให้เราทราบด้วยว่า สินค้าชิ้นนี้มีคนประมูลที่ eBay ได้ในราคาประมาณเท่าไหร่
รวมทั้งเราสามารถดูแนวโน้มราคาสินค้าได้ว่า กำลังขึ้นหรือลง ทำให้ทราบความแรงของสินค้าได้ว่า จะขายดีได้ต่อไปอีกนานแค่ไหนครับ
แต่เท่าที่คอยเปรียบเทียบราคาสินค้ามาเรื่อยๆ พบว่า ถ้าหากสินค้าที่เราเลือกนั้น เป็นสินค้าที่ขายดีอยู่แล้วใน Amazon (โดยดูจาก Best Sellings,Rating, Review เป็นต้น) ราคาที่ขายใน Amazon นั้น ก็จะไม่ต่างจากที่ขายกันทั่วไปเท่าไหร่ จะถูกแพงกว่ากันก็นิดหน่อย แต่ด้วยแบรนด์ Amazon ก็จะทำให้ขายได้ดีอยู่แล้วครับ
การทำโฆษณาสินค้าใน Amazon
ในการทำโฆษณาสินค้าใน Amazon นั้น เราทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า สามารถแบ่งวิธีการทำโฆษณา/ หา Keywords ออกได้เป็น 2 แบบ ก็คือ
1. โฆษณาแบบ Mass คือ การทำโฆษณาตัวเว็บไซต์ Amazon.com เลย เพื่อให้คนเข้ามาซื้อสินค้ากันในเว็บไซต์ จะเป็นสินค้าอะไร ยี่ห้ออะไรก็ได้ ซึ่ง Keywords ที่ใช้ก็เช่น online shopping, buying gift เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าเป็น Keywords กลางๆ ที่เรียกให้คนเข้าเว็บไซต์มากๆ
2. โฆษณาแบบ Niche คือ การทำโฆษณาสินค้าเฉพาะบางอย่าง หรือ บางประเภทใน Amazon เพื่อให้คนที่สนใจสินค้าจริงๆ เจาะจงเข้ามาใน Amazon เพื่อซื้อสินค้าที่เราทำโฆษณาอยู่เลย ซึ่ง Keywords ที่ใช้ ก็จะเป็นประมาณ sony digital camera, Samsung hdtv เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าเป็น Keywords ที่มีการะบุชื่อรุ่น หรือ ชื่อสินค้า ชัดเจนมากขึ้น
หรือสำหรับใครหลายๆคน อาจจะมีแยกแบบที่ 3 ออกมาด้วย ก็ได้คือ
3. โฆษณาแบบ Nass คือ การทำโฆษณาสินค้าชนิดต่างๆใน Amazon โดยไม่ได้มีการระบุลงลึกไปมากเท่าไหร่ เหมือนกับเน้นให้คนที่สนใจสินค้าชนิดนั้นๆ เข้ามาเลือกดูสินค้าแต่ละยี่ห้อ และตัดสินใจซื้อ สินค้าที่ดีที่สุดให้ตนเอง ซึ่ง Keywords ที่คนนำมาใช้โฆษณาแบบ Nass นี้ เช่น hdtv on sale, classic electric guitar, wedding diamond rings เป็นต้น
ซึ่งการโฆษณาแบบ Nass นี้ บางคนก็จัดให้อยู่ในประเภทเดียวกับ Mass บางคน ก็จัดอยู่ในประเภทเดียวกับ Niche แล้วแต่ใครเห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะว่าการโฆษณาแบบ Nass นี้ ก็คล้ายกับเป็นการนำคนจำนวนมากเข้ามาในเว็บไซต์ ด้วยความสนใจในสินค้าบางอย่าง แต่หลายๆครั้ง คนที่เข้ามาก็ไม่ได้ซื้อสินค้านั้นๆ กลับไปซื้อสินค้าอื่นแทน เหมือนเป็นลูกผสมระหว่าง Mass กับ Niche นั่นเอง
(เพื่อความสะดวก ผมก็ขอพูดถึงการโฆษณาแค่ 2 ประเภทนะครับ คือ แบบ Mass กับ แบบ Niche ส่วนแบบ Nass นั้น เพื่อนๆก็ไปตัดสินใจเอาเองนะครับว่า ต้องการนำเข้าไปรวมกับแบบใด)
เวลาใดก็ตามที่มีทางเดิน 2 ทางให้เราเลือก เราจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ต้องมีทางใดทางหนึ่งที่ดีกว่าอีกทาง ทำให้หลายๆคนคงเคยสงสัยว่า ตนเองควรจะทำโฆษณาแบบ Mass หรือแบบ Niche จะดีกว่ากัน อันไหนจะให้รายได้ที่ดีกว่า
คำตอบจากผมง่ายๆครับ คือ ลองทำและวัดผลดูทั้ง 2 แบบ เพราะตราบเท่าที่เรายังไม่เคยทดลองทำ เราจะไม่มีทางรู้ผลลัพธ์ได้เลยว่า อะไรดีกว่ากัน
และผมว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นกับบุคคลอีกด้วยครับ เพราะว่า กรรมเก่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน (ประสบการณ์ ความถนัด ความชอบ ความคุ้นเคย และอื่นๆ) ทำให้บางคนอาจจะถนัดและทำเงินจากแบบ Mass ได้มากกว่าแบบ Niche ในขณะที่บางคนทำโฆษณา Mass แทบตายไม่เคยได้เงิน แต่พอย้ายไปทำแบบ Niche ปุ๊บ ได้เงินปั๊บ
ผมก็ขอให้คำแนะนำในการเลือกโฆษณาทั้ง 2 แบบ ไว้ดังนี้ครับ
1. ถ้าหากเป็นไปได้ ควรทำโฆษณาทั้ง 2 แบบ
เพราะว่าระดับค่าคอมมิสชั่นใน Amazon จะเป็นแบบขั้นบันได ยิ่งเราขายสินค้าได้มากชิ้น ค่าคอมมิสชั่นเราก็จะเพิ่มไปด้วย เช่น เมื่อเราขายได้เกิน 630 ชิ้น เราจะได้ค่าคอมมิสชั่นถึง 8%
ดังนั้นเราควรจะทำโฆษณาแบบ Mass เพื่อให้ยอดสินค้าของเรามีมากๆในแต่ละเดือน เพื่อให้ค่าคอมมิสชั่นที่เราได้จากการทำโฆษณาแบบ Niche นั้น เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยกัน ก็จะเป็นวิธีการสร้างรายได้เพิ่มให้กับเราโดยอัตโนมัติครับ
2. โฆษณาแบบ Niche เฉพาะสินค้าที่มีราคาแพงๆ
เพราะว่า ยิ่งสินค้ามีราคาแพง เราก็จะได้รับค่าคอมมิสชั่นสูงไปด้วย จะทำให้เราสามารถเพิ่มค่า bid ใน PPC ต่างๆมากขึ้นไปได้อีก ก็จะทำให้เราโฆษณาอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆได้อีกหน่อย
และที่สำคัญการโฆษณาแบบ Niche นั้น สร้างความยุ่งยากให้กับเรามากกว่าแบบ Mass เพราะเราต้องศึกษารายละเอียดของสินค้า และนำมาเขียนโฆษณาให้ดี ดังนั้น เมื่อเราจะเหนื่อยมากขึ้น ค่าตอบแทนที่ได้รับกลับมา ก็ควรจะคุ้มค่าเหนื่อยเช่นกัน
3. อย่าลืมใช้ Landing Page ที่เหมาะสมในการโฆษณาแบบ Niche
เพราะในการโฆษณาแบบ Niche เราใช้ Keywords และ Ads ที่เจาะจงมากๆ ดังนั้น เราจึงควรส่งลูกค้าทุกคนไปยังหน้าสินค้าที่เค้ากำลังค้นหาอยู่ทันที ซึ่งจะทำให้ค่า Conversion Rate ของเราสูงขึ้นได้ครับ
4. โฆษณา Mass หนักๆในช่วง Seasonal
ในช่วงหน้าเทศกาลต่างๆที่คนจำเป็นต้องซื้อของขวัญ เพื่อมอบให้กับคนอื่นๆ เช่น ช่วงปีใหม่เป็นต้น เราควรจะเร่งทำโฆษณาแบบ Mass เพราะว่า คนจำนวนมากเหล่านี้ ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญดี ทำให้หลายๆคนเข้ามาเว็บไซต์ Amazon แล้ว จึงค่อยๆคิด ว่าจะไปซื้อของขวัญอะไรดี และสุดท้ายก็เลือกซื้อของบางอย่างใน Amazon ไปเป็นของขวัญนั่นเอง
5. การเขียนข้อความโฆษณา
การเขียนข้อความโฆษณาแบบ Mass คงไม่มีอะไรมาก แต่สิ่งหนึ่งที่แนะนำให้เขียนไว้เลย คือ ชื่อแบรนด์ Amazon.com รวมทั้งการเขียนว่า สามารถซื้อของได้ในราคาถูก หรือ ถูกทุกอย่างที่คุณซื้อ ประมาณนี้ จะช่วยเรียกคนให้คลิกได้มาก
ส่วนการเขียนโฆษณาแบบ Niche นั้น ก็ควรจะมี ยี่ห้อ หรือมีชื่อแบรนด์ของสินค้าที่เราทำโฆษณาใส่ลงไปด้วย รวมทั้งมีการเขียน Display URL เป็น directory ต่างตามประเภทสินค้า เช่น amazon.com/music เป็นต้น ก็จะช่วยให้ข้อความโฆษณาดูน่าสนใจมากขึ้น
6. ดูรายการสินค้าขายดีจากแบบ Mass มาแยกทำโฆษณาแบบ Niche
อย่าลืมว่าทาง Amazon จะแสดงรายการสินค้าที่เราขายได้ขึ้นมาใน Earning Report และ Order Report ด้วย ดังนั้นเมื่อเราทำโฆษณาแบบ Mass ที่มีคนซื้อสินค้าเยอะๆ เราอาจจะเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น เพื่อดูว่า คนซื้อสินค้าอะไรมากเป็นพิเศษ จากนั้นก็ให้ลองทำโฆษณาสินค้ารุ่นนั้น ยี่ห้อนั้นแบบ Niche ดูครับ
7. Bid ต่ำๆในการโฆษณาแบบ Mass
การโฆษณาแบบ Mass นั้น จะมีคนซื้อสินค้ามากก็จริงอยู่ แต่ว่าสินค้าที่คนซื้อส่วนใหญ่ จะเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างถูก ทำให้ค่าคอมมิสชั่นเราก็น้อยไปด้วย ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้ ควรจะทำโฆษณาเฉพาะใน Mass Keywords ที่มีราคาถูกๆ (ไม่ควรเกิน $0.3) ก็จะทำให้เรามีโอกาสได้กำไรมากขึ้น
และสิ่งสุดท้ายที่ต้องการฝากไว้คือ อย่าลืมทำการวัดผลโฆษณาควบคู่กันไปด้วยเสมอ เพราะนั่นจะเป็นหนทางที่ทำให้เรา สามารถปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้น ให้สามารถทำกำไรกลับมาได้ในอนาคตครับ
ขอให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วนะครับ
อีเบย์เริ่มจากการเป็น Free Market หรือ ตลาดนัดขายของเก่าของวงการอินเทอร์เน็ต ที่อาศัยการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ ทฤษฎีทุนนิยม หลักจิตวิทยา พฤติกรรมมนุษย์ และ การพัฒนาของเทคโนโลยี เป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จ จนสามารถเคลมว่าตัวเองเป็น “King of eCommerce” หรือ “ ธุรกิจแฟรนไชส์อีคอมเมิร์ซที่ทรงคุณค่าที่สุดในโลก” ในยุคนี้
หากมองในมุมของผู้ซื้อ อีเบย์เป็นร้านค้าออนไลน์ที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถหาของที่ตนเองต้องการได้เสมอไม่ว่ามันคืออะไร แม้ว่าจะไม่เคยใช้งานและไม่รู้จักใครเลยในแวดวงอีเบย์มาก่อน ขณะที่มิติของผู้ขาย อีเบย์ คือ แหล่งรวมลูกค้าชั้นดีจากทั่วโลก ที่พร้อมจะซื้อ ที่สำคัญมีกำลังพร้อมจ่ายสูงขึ้นเรื่อยๆ เพียงเพื่อชัยชนะแห่งการได้สินค้านั้นๆ มาครอง
กุญแจแห่งความสำเร็จของอีเบย์อยู่ที่การดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการประยุกต์หลักการตลาดในอุดมคติ ของ Adam Smith ซึ่งใช้พฤติกรรมมนุษย์เป็นเครื่องมือนำตลาดให้เปลี่ยนแปลงตามการเพิ่มขึ้นและลดลงของ อุปสงค์ และ อุปทาน นำมาใช้กับเทคโนโลยี eMarketplace บนอินเทอร์เน็ตได้อย่างชาญฉลาด ทำให้เกิดเป็นพื้นที่กลางในการติดต่อซื้อขายขึ้นสำหรับลูกค้าทั่วโลก ซึ่งอีเบย์สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เต็มที่ได้อย่างไม่มีสิ้นสุด โดยทีมงานไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนการซื้อขาย การจัดการคลังสินค้า การจัดส่ง หรือรับผิดชอบความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายแต่อย่างใด
หน้าที่ของอีเบย์จึงมีแค่ดูแลความเรียบร้อยของพื้นที่ อำนวยความสะดวก และเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น แล้วนำไปปรับปรุงพัฒนาให้ดีและรวดเร็วที่สุดเท่านั้น ซึ่งอีเบย์ก็สามารถทำหน้าที่นั้นได้ดีทีเดียว จากตลาดออนไลน์เล็กๆ บนอินเทอร์เน็ตอีเบย์สามารถพัฒนาไปสู่การเป็น eMarketplace ที่มีขนาดใหญ่ และ มีจำนวนสินค้ามากที่สุดในโลกได้ในเวลาไม่นาน แถมยังครองรักษาตำแหน่งแชมป์เว็บประมูลยอดนิยมระดับโลกได้ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
อีเบย์ จะแบ่งบัญชีออกเป็น 2 ประเภท
คือบัญชีผู้ซื้อและบัญชีผู้ขาย
จุดประสงค์ของเราคือการเป็นผู้ขายในอีเบย์ ผมจึงขอกล่าวถึงขั้นตอนการเปิด
บัญชี "ผู้ขาย" นะครับ
ขั้นแรก เข้าไปที่ www.ebay.com ก่อนเลยครับ
กดที่ Sign in เลยครับ
(สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัญชีกับอีเบย์ ก็สมัครก่อนนะครับ ไม่ยากครับโดยเริ่มที่ Register)
แล้วมองหาเมนู Site Map จะอยู่มุมบนด้านขวามือครับ แล้วก็กดโช๊ะเข้าไป หลังจากนั้นไปที่หมวด
Selling Resources แล้วเลือก See all Selling Resources
ระบบจะพาเราไปที่หมวด Getting Started หลังจากนั้นให้กดเลือก Create Seller Account
หน้าต่อมา ระบบจะถามหา Password เพื่อเป็นการยืนยันการเปิดบัญชีผู้ขายของเรา
เราก็กรอก Password แล้วกด Sign in
จากนั้นระบบจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับบัตรเครดิตของเรา เราก็จักการให้เรียบร้อย แล้วกด
Continue
ทีนี้เราก็กลับไปที่ My eBay อีกครั้ง
กดที่เมนู My Account จะเห็นคำว่า Seller Account กดเข้าไปเลยครับ
ระบบจะแสดงรายละเอียดบัญชี "ผู้ขาย" ของเรา เป็นอันเรียบร้อยครับ ขายของได้เลย
10 เทคนิคปรับเพิ่มยอดขาย อีเบย์
ช่วงนี้ กระแสอีเบย์เริ่มมาแรงอีกครั้ง และคาดการณ์ว่าน่าจะมีคู่แข่งเพิ่มมาอีกเยอะ คนขายหลายคนเมื่อขายไม่ได้ ยอดไม่กระเตื้องเอาเสียเลย ก็หนีหายไปเยอะ การรู้จักปรับตัวให้ทันเกมการแข่งขัน น่าจะเป็นทางออกที่ดีไม่น้อย เราลองมาปรับเพิ่มยอดขายของเราอย่างง่ายๆดีกว่า เทคนิคและวิธีการในบทความนี้ อาจจะทำให้ประกาศของคุณ ดูน่าสนใจและเพิ่มยอดคลิกเพื่อตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น นั่นคือ การปรับปรุง eBay Listing ให้ดีกว่าเดิม
วิธีการนี้อาจไม่ต้องไปลดราคาแข่งกับใคร ไม่ต้องหาสินค้าใหม่หรือเลียนแบบสินค้าคนอื่่นๆ ก็น่าจะทำให้อยู่รอดได้สบายๆ ลองเอาไปปรับใช้ดูครับ
ใส่ตัวอักษรใน Title ให้เต็มพิกัด
ปกติแล้วตัวอักษรบน Title สำหรับประกาศขายสินค้านั้น ทาง อีเบย์ กำหนดให้ใส่ได้แค่ 55 ตัวเท่านั้น เกินจากนี้จะใส่ไม่ได้อีก เพราะเต็มโควต้า ใครที่ใช้ไม่คุ้มก็เท่ากับว่าเสียของเปล่าๆ ดังนั้นพยายามใส่ตัวอักษรให้มากที่สุด ยิ่งมากก็ยิ่งได้เปรียบ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องจ่ายตังค์เพิ่ม เพราะยังไงแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ อีเบย์ เก็บจากเรา (ผู้ขายสินค้า) ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเติมให้ครบเสียดีกว่าปล่อยเว้นว่างไว้
อย่าลืมว่ารายการประมูลสินค้าของเรามีโอกาสอยู่บน อีเบย์ ได้มากที่สุดเพียง 10 วันเท่านั้น ตัวอักษรทั้งหลายที่ใส่ไป ควรจะเป็น Keyword ที่นิยมค้นและเกี่ยวเนื่องกับสินค้าของเรามาุกที่สุด อย่าใส่แบบไม่ลืมหูลืมตา หรือไม่เกี่ยวอะไรกับสินค้าของเราเลย (มีคนเข้ามาดู แต่ไม่ซื้อ ก็ไม่มีประโยชน์) คำที่นิยมใส่ไว้ควรบอกว่าของที่เราขายนั้นคืออะไร ? เสื้อ กางเกง สร้อย แหวน กำไล หรือ หนังสือ? อาจจะพ่วงด้วยยี่ห้อสินค้า ชื่อคนแต่งหนังสือ โมเดลหรือรุ่นที่ผลิต ระบุสี วัสดุที่ทำ น้ำหนักหรือขนาดของสินค้าเข้าไปด้วย (หากมีที่เหลือพอ) ก็จะสื่อให้คนเข้ามาคลิกได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องแน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราประกาศขายจริงๆ อย่าเป็นลักษณะของการ Spam เพราะการทำเช่นนั้นผิดกฎของ อีเบย์ อย่างแน่นอน นอกจากจะถูกปลดรายการออกยาวเลยแล้ว ยังจะไม่ได้ค่า Fee คืนอีกต่างหาก
คำแนะนำคือ ตัดเอาคำเกินที่ไม่สื่อความหมายออกไปเสีย เช่น Wow!, หรือ Look! เพราะจะกินพื้นที่เปล่าๆ และ keyword พวกนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ เนื่องจากไม่เป็นที่นิยมในการใช้ค้นหา (ลองนึกดูว่าถ้าเราจะซื้อสินค้าสักชิ้น เราจะพิมพ์คำค้นด้วยวลีเหล่านี้หรือไม่)
ถ้ายังที่ว่างพอหลงเหลืออยู่ อาจหันไปใช้กลุ่มคำหรือวลีอันอื่นแทนที่ Wow! หรือ Look! อะไรพวกนี้ ด้วยคำว่า New หรือ Old เพื่อบ่งบอกว่าสินค้าของเราเก่าหรือใหม่ ก็จะดูดีกว่า และยังเป็นคำค้นที่นิยมใช้ด้วย หรือหาคำย่อที่ใช้ในเว็บ อีเบย์ เพิ่มเข้าไปอีกแทนพื้นที่ว่างๆ ก็ได้ เช่น เติมอักษร NR (No Reserve) ต่อเข้าไปในส่วนท้าย เพื่อบ่งบอกว่า สินค้าชิ้นนี้ ไม่ได้กั๊กราคาหรือตั้งราคากันเอาไว้ อะไรแบบนี้ เป็นต้น
เช็คคำสะกดให้ถูกต้อง
หลายครั้งที่เราพบว่า Listing ของเราไม่โชว์หรือไม่แสดงผลลัพธ์ในการค้นเลย เป็นไปได้ว่าการสะกดคำใน Title และ Description ของเรานั้น บางทีเพี้ยนหรือสะกดผิดไป อาจจะวางตำแหน่งตัวอักษรผิดที่ ตกหล่นอักษรบางตัว หรือมือเร็วไปหน่อย ทำให้พิมพ์ตกๆหล่นๆ ทางที่ดีก่อนลงประกาศก็เช็คคำสะกดเหล่านี้ให้ถูกต้องด้วยครับ จะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมการลงประกาศขายไปฟรีๆ โดยที่ไม่มีโอกาสให้คนอื่นเข้ามาเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งถ้าสินค้าที่เราลงประกาศขายชิ้นนั้นตั้งราคาประมูลที่ต่ำด้วยแล้ว โอกาสที่จะเจอนักซื้อมือทองที่สบโอกาส คว้ารายการประมูลนั้นไปในราคาที่ต่ำแสนต่ำ ยิ่งเป็นไปได้มาก เพราะพวกนี้จะชำนาญเรื่องการใช้เทคนิคค้นข้อมูลด้วยคำที่สะกดผิด และมองหาสินค้าที่ไม่มีคนเข้ามาดู และชิงประมูลเอาไปในวินาทีสุดท้าย ซึ่งอาจจะทำให้คุณหัวเสียก็เป็นได้ เพราะไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ แต่ถ้าจะวางกับดักแบบหนามยอกเอาหนามบ่งพวกนี้ ก็ตั้งราคาแบบพอมีกำไร หรือล่อด้วยราคาต่ำแต่บวกค่าขนส่งที่มากกว่ารายการประมูลอื่น แบบนี้น่าจะใช้ได้เช่นกัน แต่ระวังว่าอย่าบวกค่าขนส่งที่แพงจนน่าตกใจน่ะครับ เดี๋ยวเข้ามาแล้วจะหายไปเสียดื้อๆ
สร้างเงื่อนไขให้โดนใจ
บ่อยครั้งที่ Listing ของเราวางเงื่อนไขที่ดุดัน รุนแรงและวางระเบียบไว้มากเกิน มองในด้านผู้ซื้อ เมื่อเข้ามาแล้ว อ่านดูแล้ว อาจจะฉุนนิดๆก็ได้ ทางที่ดีควรผ่อนเงื่อนไขให้ตรงใจกันทั้งสองฝ่าย อย่าตึงหรือหลวมมากเกินไป การเขียนเพื่อบอกเงื่อนไขแข็งข้อมาก ฝ่ายผู้ซื้ออาจจะหนีไปเสียดื้อๆ แต่ถ้าทำให้เขาพอใจ และรับได้กับบางสิ่งบางอย่างที่เราตั้งกฎเกณฑ์ไว้ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ โบราณกล่าวไว้ว่า คำพูดดีๆไม่ต้องซื้อหา ปากหวานๆหยอดวาจาสวยๆแค่นี้ก็กินใจได้เยอะครับ
ตั้งราคาไม่สูงหรือแพงมากไป
บ่อยครั้งที่พบว่าสินค้าเราขายไม่ได้หรือไม่มีคนซื้อหรือมาประมูลเอาเสียเลย อาจเป็นไปได้ว่าไม่มีการวิจัยหรือสำรวจตลาดโดยรวมเสียก่อนว่า ราคาที่อยู่ในตลาดนั้นแค่ไหนกันแน่ และควรจะเริ่มตั้งราคาประมูลที่เท่าไหร่ดี บางครั้งการตั้งไว้สูงจนเกินไป ก็ทำให้โอกาสในการขายของชิ้นนั้นยากมากขึ้นด้วย ทำนองกลับกันการตั้งราคาที่แหวกม่านประเพณี แบบลดกระหน่ำ Summer Sale หรือตั้งไว้ต่ำจนน่าตกใจ เพื่อล่อให้คนมาซื้อหรือประมูลก็ใช่ว่าจะขายได้ไปเสียทุกชิ้น บางรายการอาจจะทำให้คู่แข่งที่ขายสินค้าแนวเดียวกันเข้ามาแกล้งเอาดื้อๆก็ได้ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า หมั่นไส้!) การขายในราคาประมูลที่ต่ำมาก อาจจะได้ผลดีในระยะแรกๆที่จะทำให้มีคนมาประมูลเยอะขึ้น แต่ในระยะยาวท่านจะต้องทนร้ับสภาพกับราคาที่ขายต่ำแบบนี้ไปอีกนานครับ เรียกว่าขายยังไงก็ไม่ได้กำไร ดังนั้นการตั้งราคาก็เอาพอให้รับได้ ไม่สูงมากหรือต่ำเกินกว่าที่ควรจะเป็น หลายครั้งการตั้งราคาอาจจะบวกกำไรเอาไว้ราวๆ 100-200% (เผื่อต้นทุนในการลงประกาศขายและค่าธรรมเนียมอื่นๆ) แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่มีคู่แข่งด้วยแล้ว จากประสบการณ์มากสุดที่เคยทำคือประมาณ 600% ก็ยังพอขายได้ครับ สำหรับสินค้าที่โดนใจจริงๆ คำแนะนำข้อนี้อาจจะไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวแต่เดินอยู่ในทางสายกลางน่าจะดีที่สุด
ใส่รูปประกอบคำอธิบาย
คำพูดล้านคำไม่เท่ากับใช้ภาพเพียง 1 ภาพ มาอธิบาย วิธีการเหล่านี้ยังเอามาใช้ได้บน อีเบย์ นะครับ โดยเฉพาะกับ eBay Listing ของเรา ควรอย่างยิ่งเลยครับ ใส่ภาพประกอบไปเสียหน่อยจะทำให้ง่ายในการอธิบายด้วยคำพูดยาวๆได้ดีมาก ภาพที่ใช้ก็ควรจะเป็นภาพที่เด่น ชัดเจนและตรงกับคำอธิบายพอสมควร ผู้ขายรายใดมี Hosting ให้เลือกใช้ ถ้าเป็นไปได้ใส่สัก 2-3 รูปก็ไม่เลว ทั้งภาพด้านหน้า ด้านข้่าง ด้านหลังของตัวสินค้า ภาพที่เลือกใช้ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตเท่าฝาบ้าน เอาพอใ้ห้เห็นตำหนิ รูปพรรณหรือแบบของสินค้าอย่างคร่าวๆก็จะดีกว่าภาพใหญ่ๆแต่ไม่ได้เน้นรายละเอียดอะไรเลย ในการลงประกาศขายสินค้าของ อีเบย์ จะมีให้เลือกออพชั่นการแสดงผลแบบ Gallery ด้วย ถ้าเป็นสินค้าที่มีคู่แข่งมากในตลาด และอยากให้คนเข้ามาคลิกดูรายการของท่านบ้าง ควรเสียเงินเพิ่มอีก $0.35 สำหรับแสดงผลแบบ Gallery ด้วยครับ อย่างน้อยก็ทำให้เปอร์เซ็นต์ในการคลิกประกาศของเรา มีสูงกว่ามาก
ปรับ Listing ให้สวย สะดุดตา
หลายครั้งที่หน้าประกาศขายสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพง เครื่องประดับหรือสินค้าทั่วไป การปรับแต่ง Listing ให้สวย โดนใจและเข้ากับกลุ่มลูกค้าก็จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อหรือประมูลง่ายขึ้นนั่นเอง เช่น ขายสินค้าผู้หญิงก็เน้นโทนสีออกชมพูหวาน หรือมีลูกเล่นเล็กน้อย ขายสินค้าผู้ชายก็เน้นโทนสีของ Listing ออกเข้ม ดุดันออกแนวสีน้ำตาล ดำหรือสีที่แสดงให้ถึงความเข้มแข็ง หนักแน่น เป็นต้น การเลือกใช้ Template ที่ อีเบย์ มีให้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การสร้าง Listing ง่ายมากขึ้น แต่ถ้าหากจะต้องเขียนเองหรือยุ่งยากอาจไหว้วานคนรู้จักให้ทำต้นแบบไว้สักแบบสองแบบ แล้วนำมาใช้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้วุ่นวายอะไรมากนัก ลองดูเถอะครับแล้วจะรู้ว่าการทำให้ประกาศดูน่าเชื่อถือและแสดงถึงความเป็นมืออาชีพด้วยแล้ว ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ใส่ Link เชื่อมโยงไปดูหน้าสินค้าอื่น
เมื่อลูกค้าเข้ามาดูประกาศหรือ Listing นั้นแล้ว บางครั้งอาจไม่ใช่สินค้าที่เขาต้องการ ดังนั้น อีเบย์ จึงอนุญาตให้เราสร้าง Link เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้าอื่นที่เราขายบน อีเบย์ อีกได้ เช่น รายการที่ขายอยู่ในขณะนั้น หรือ eBay Store ที่เปิดเอาไว้ หากไม่สันทัดในเรื่องการสร้าง Link ก็เลือกใช้บริการของ Third Party หรือผู้ให้บริการจากข้างนอก (เช่น Auctiva หรือ Vendio) ซึ่งจะดึงเอาสินค้าที่มีอยู่ของเรามาต่อท้ายเป็น Gallery Listing เพื่อดึงดูดให้คลิกดูรายการสินค้าอื่น ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายและโอกาสให้คนเห็นมากขึ้นเช่นกัน
เลือกเวลาลงรายการให้เหมาะสม
บางครั้งการเลือกลงเวลาให้จบการประมูลก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ในการลง Listing พยายามให้จบประการประมูลในช่วงหัวค่ำ จะดีกว่าให้จบการประมูลในช่วงที่คนส่วนใหญ่นั่งทำงานหรือไม่ได้มีเวลาจะมานั่งหน้าจอกันนานๆ เวลาที่ผู้ขายนิยมมากสุดก็คือช่วง 7pm-11pm ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะพิจารณาปัจจัยและเหตุผลอื่นๆประกอบด้วยครับ ว่าสินค้าของเรานั้นเน้น Target กลุ่มไหน แม่บ้าน นักเรียน คนทำงาน อาจจะไม่ต้องจบประมูลในช่วงเวลาเหล่านี้เสมอไป การเลือกลงเวลาจบประมูลให้เหมาะสม ไม่ได้มีผลแค่ให้คนเข้ามาหา Listing ของเราง่ายขึ้น (ค้นตามเวลาใกล้จบประมูล) เท่านั้น รายการสินค้าที่หายาก ของที่มีอยู่ชิ้นเดียวในโลกหรืออยู่ในกระแสและมีความต้องการสูงมากในเวลาใดเวลาหนึ่ง ย่อมเกิดการแย่งประมูลสินค้าชิ้นนั้นมากขึ้น ส่งผลให้ราคาการจบประมูลก็สูงมากเช่นกัน คนขายอย่างเราๆก็คง Happy ไม่ใช่น้อย ลองดูน่ะครับ ปรับเวลาให้เหมาะสม เลือกเอาว่าเวลาไหนดี ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นเสมอไป
ตั้งค่าขนส่งแบบสมน้ำสมเนื้อ อธิบายชัดเจน
การขายสินค้าบน อีเบย์ อย่างหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้คือ การแจ้งราคาค่าขนส่งให้ลูกค้าทราบเีสียแต่เนิ่นๆ ก็จะเป็นการดี โดยเฉพาะการส่งสินค้าจากไทยไปยังปลายทางต่างประเทศแล้ว ย่อมมีอัตราค่าขนส่งที่ไม่เท่ากัน ควรบ่งบอกด้วยว่าปลายทางที่ส่งไปนั้น แต่ละแห่ง แต่ละ Zone คิดค่าธรรมเนียมอย่างไรบ้าง ส่งด่วน ส่งเร็วคิดค่าบริการกี่เท่า มีประกันด้วยหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรมีบอกไว้อย่างชัดเจน นอกจากจะไม่ต้องคอยตอบคำถามแบบซ้ำซากแล้ว ยังทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือประมูลง่ายขึ้นเช่นกัน สำหรับวิธีการคิดค่าขนส่งนั้นควรบวกต้นทุนต่างๆรวมเข้าไว้ด้วย เช่น ค่ากล่อง หีบห่อ เทปกาว ค่าน้ำมันรถ (จากบ้านไปที่ไปรษณีย์) เชือกมัด ป้ายชื่อ หมึกพิมพ์ ค่าแรงงาน สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรรวมอยู่ในต้นทุนค่าขนส่งทั้งหมด ประการสำคัญคือ อย่าตั้งมากไปจนคนซื้อปฎิเสธไปเสียดื้อๆ ให้ดูจากคู่แข่งหรือตลาดโดยรวมว่าอยู่ในเกณฑ์ระดับใดจะดีที่สุด
ตอบคำถามให้ไว ทันใจผู้ซื้อ
บางครั้งเมื่อลูกค้าเห็นรายการประกาศสินค้าของเราแล้ว อาจจะยังไม่มีการตัดสินใจซื้อ ณ เวลานั้น เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ แน่นอนว่า การส่งคำถามจากผู้ซื้อเข้ามาหาเรา (ผ่านระบบ Ask Seller Question) ย่อมเป็นสัญญาณบอกเราได้อย่างดีว่า สินค้าชั้นนั้นน่าจะมีโอกาสขายได้บ้าง (อย่างน้อยก็ยังสนใจบ้าง!) วิธีที่แนะนำคือ ตอบคำถามให้ไวและตรงประเด็นเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งโน้มน้าวให้ตัดสินใจซื้อมากขึ้น ซึ่งหลายๆครั้งพบว่า การตอบคำถามชัดเจนและแจ้งให้ทราบก่อนจบประมูลก็ช่วยเร่งรัดการตัดสินใจของลูกค้าได้มากขึ้นเช่นกัน
คำแนะนำทั้ง 10 ประการ อาจไม่จำเป็นต้องทำให้ได้หมดทุกข้อ ลองนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายของท่าน ก็น่าจะเพิ่มยอดขายหรือกระตุ้นให้เกิดการซื้อได้ไม่มากก็น้อยครับ
webboard ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ eBay
1 www.thaiseoboard.com
2.www.thaiebayusers.com
3.http://business-online.tht.in
1. เข้าเว็บ PayPal โดยคลิ้กที่ http://www.paypal.com/
2. ที่หน้า Home : มองหาปุ่ม SignUp >> กดปุ่ม SignUp Now!
3. ที่หน้าจอลงทะเบียน :
a. เลือกประเทศที่เราอาศัยอยู่
b. เลือกภาษาที่ใช้
c. ระบบจะพามาที่หน้า SignUp PayPal Account อัตโนมัติ โดยให้เลือก Premier Account
Click ปุ่ม continue
d. กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว
e. กรอกรายละเอียดข้อมูล Login User สำหรับบัญชี PayPal นี้
f. ระบุรายละเอียดเพื่อใช้ในกรณีลืม Password
g. ในส่วนของ Agreement ให้เลือก Yes แล้วใส่รหัสที่แสดงอยู่ด้านล่างของช่อง Enter the code as shown below (กรอกตามที่เห็น)
h. กดปุ่ม SignUp เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการสมัครบัญชี PayPal
i. หากระบบวิ่งไปที่หน้าให้กรอกรายละเอียดบัตรเครดิต ให้ทำการยกเลิกขั้นตอนนี้ไปก่อนได้ (สามารถ มากรอกภายหลังได้) โดยหากยังไม่มีการกรอกบัตรเครดิต PayPal จะขึ้นสถานะของบัญชีเราเป็น Unverified ซึ่งหากเรากรอกบัตรเครดิต และทำการใส่รหัสสำหรับ Verify เขาไปเรียบร้อยแล้วระบบ จะเปลี่ยนสถานะบัญชีของเราให้เป็น Verifiedแต่ถึงแม้ว่าสถานะจะเป็น Unverified ก็สามารถทำ Online Transaction ได้แล้ว
หมายเหตุ :การ Verified Account ทาง PayPal จะชาร์จเงินเราเป็นจำนวน $1.95 หลังจากเมื่อมี การทำ Transaction ผ่าน PayPal เช่นจ่ายเงินค่าอะไรบางอย่าง ทาง PayPal จะทำการคืนเงินให้เรา $1.95 กลับคืนมา
4. เข้ามาที่หน้า Home ของ PayPal อีกครั้ง เพื่อทำการ Login เข้าสู่หน้าข้อมูลบัญชีของเรา
กรอก Email Address และ Password ของเราที่เราใช้ตอนสมัคร แล้วกด Login
5. รอสักครู่ระบบจะทำการเข้ามาที่หน้าจอข้อมูลของเรา
พบว่ายอดเงินในบัญชีมียอดเท่ากับ $0.00 เมื่อต้องการทำการจ่ายเงินให้กับบุคคลอื่น ๆ จึงยังไม่สามารถทำได้
6. ให้เขาไประบุรายละเอียดทางด้านการเงินของเรา เช่นบัญชีธนาคาร (ใช้กรณีนำเงินออกจากบัญชี PayPal), บัตรเครดิตที่ต้องการใช้ใน PayPal (สำหรับชำระเงินโดยให้ PayPal ดึงจากบัตรเครดิต เวลาทำการจ่ายเงิน) โดยให้เข้าไปที่ Tab Menu Profile
เลือก Financial Information
ระบุรายละเอียดบัตรเครดิต โดยคลิ้กเขาไปที่ Credit/Debit Cards เลือกปุ่ม Add New Card
กรอกรายละเอียดบัตรเครดิต โดย Card Verification Number = รหัส 3 ตัวหลังบัตร หรือสำหรับบัตร AMEX จะเป็นรหัส 4 ตัวที่อยู่ด้านหน้าบัตร
เลือก address ที่ใช้สำหรับออกใบเรียกเก็บเงินของบัตรใบนี้ หากไม่ตรงกับ list ที่มีอยู่ ให้คลิ้กเลือก Enter new address….. แล้วกรอกรายละเอียด เมื่อเสร็จสิ้นให้กดปู่ม Add Card
ระบุรายละเอียดบัญชีธนาคาร โดยคลิ้กเข้าไปที่ Bank Account
กรอกรายละเอียดแล้วจึงกด Continue
ระบบจะนำข้อมูลที่กรอกไปมาสรุปรายละเอียดให้เราทำการตรวจสอบ ก่อน เนื่องจากหากมีการชำระเงินจาก PayPal มายังบัญชีของเราแล้วเกิดผิดพลาด (เพราะข้อมูล) เราจะต้อง เสียค่าธรรมเนียม 15 บาทต่อครั้ง เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้วกดปุ่ม Add Bank Account หรือหากต้องการ แก้ไขรายละเอียดให้กด Edit
เป็นอันเสร็จสิ้นการบันทึกข้อมูลบัญชี PayPal
ที่นี้มาดูขั้นตอนการ Verify ของบัญชี Paypal
ขั้นตอนที่ 2 การ Verified account
ขั้นตอนนี้เป็นการยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของบัตรตัวจริง และบัตรที่เราใช้สมัครสามารถใช้ได้จริงคลิ๊กเข้าไปที่ Status: Thai Unverified จะมีหน้าต่างให้เรา add บัตรเครดิต
First name: ชื่อจริง
Last name: นามสกุล
Card Type: ชนิดของการ์ด เช่น Visa / Mastercard
Card number: หมายเลข 13 หลักหน้าบัตร
Epiration date วันหมดอายุตามหน้าบัตร
Card Verification number: ตัวเลข 3 หลัก หลังบัตรตรงช่องลายเซ็นต์
----------> บัตร Be1st ชนิด ไม่มีเลขหลังบัตรให้ลองใส่ Dummy numberดู เช่น 000, 666, 999
หาก Add card ส าเร็จจะขึ้นหน้าจอดังนี้
Paypal จะทำการหักเงินในบัตรเรา 1.95 $ ประมาณ 70 กว่าบาท
เพื่อส่ง Expanded Use Number 4 หลักให้เรา คลิ๊กที่ Get Number เพื่อดำเนินการหักเงินจากบัตร
-----> ถ้าเป็นบัตรเครดิต เพื่อนๆ สามารถเช็คเลข Expanded Use Number ได้จาก Statement
-----> บัตร Be1st ลองเช็คบัญชีดูว่ามีการหักเงินรึเปล่า หากมีการหักเงินแล้วให้รอ 1 อาทิตย์แล้วโทรไปถาม Expanded Use Number 4 จาก Call center 1333 จะได้เลข 4 หลัก แล้วให้นำมากรอก เข้าไปที่ profile จะเห็นการ์ดที่เรา addไว้
คลิ๊กที่ลูกศรเพื่อใส่รหัส 4 หลัก
คำเตือนที่ 1ห้ามใส่ผิดถาม Expanded Use Number ผิดเกิน 3 ครั้งมิฉะนั้นบัตรใบนี้จะ Add ไม่ได้อีกเลย
หากสำเร็จจะขึ้นดังนี้
สถานะจะเปลี่ยนเป็น Verified
คำเตือน 2 หาก Verify Account ผ่านแล้วหลังจากนี้หากมีเมลจาก Paypal ส่งมายัง E-mail ที่ลงทะเบียนไว้ให้กรอก User name กับ Password จงมั่นใจได้เลยว่าเป็นเมลปลอมที่จะหลอก Hack เพราะ Paypal ไม่มีนโยบายที่จะส่ง E-mail ให้ลูกค้า หากมีปัญหาใดๆให้ Login ไปยัง Account Paypal จะแจ้งไว้ที่หน้าแรกของ Account ของเพื่อนๆ
ถ้ามีบัญชีธนาคากสิกรไทย แนะน าให้ใช้ E-web card สมัครแทนครับเดี๋ยวมาลงรายละเอียดให้อีกทีครับ
วิธี VERIFIED ACCOUNT โดยบัญชีธนาคารกสืกรไทย
1.เพื่อนๆที่มีบัญชีธนาคารกสิกรไทยอยู่แล้วให้ไปที่สาขาของธนาคาร เข้าไปขอ สมัคร e-internet กับทางธนาคาร (จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 7 วัน )
2.เมื่อได้รหัส (PIN1) และ (PIN2) มาแล้ว ก็ทำตามขั้นตอนที่ธนาคารระบุมา เมื่อเสร็จ แล้ว ให้คลิกที่ บริการอื่นๆ แล้วเลือกสมัคร e-web Sopping Card (ใช้เวลาประมาณ 1วันท าการ) ในขั้นตอนการสมัคร ท่านสามารถก าหนด วงเงินในการใช้จ่ายในบัญชี e-sopping card ได้
3. หลังจากที่ Account ใช้ได้แล้วให้Log in เข้าไปในนั้นจะมีแสดง Card number ตัวเลขหน้าบัตร 16 หลัก/ วันหมดอาย
>>>>ส่วนตัวเลขหลังบัตรให้ใช้เลข Dummy เหมือนบัตร Be1st
>>>>ส่วนตัวเลข Expanded Use Number จะเช็คทาง Online ไดเลย
>>>>ส่วนวิธีการ Verified ก็เหมือนขั้นตอนที่ 2
รายละเอียดของ K-Web Shopping Card สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
http://www.kasikornbank.com/TH/Personal/Debit/Pages/KWebShopping.aspx
ให้เข้าเมนูของ K-Cyber Banking จาก https://online.kasikornbankgroup.com/K-Online/ib/login_th.jsp
ให้มองดูแถบเมนูทางด้านซ้ายมือนะครับ คลิกเลือกที่เมนู K-Web Shopping Card ครับ แล้วเลือกที่ "สมัครใช้บริการ" ครับ จากนั้นเค้าก็จะให้เรากำหนดวงเงินที่เราจะใช้กับบัตร K-Web Shoping Card ใบนี้ เราจะกำหนดเท่าไหร่ก็ได้ครับ เพราะยังไงเราก็สามารถมาปรับลด หรือเพิ่ม ได้ตลอดอยู่แล้วครับ เมื่อกำหนดวงเงินเสร็จแล้วก็คลิก "ตกลง" ครับ แล้วจะมีเงื่อนไขในการใช้บริการมาให้เราอ่าน อ่านเสร็จเราก็ต้องกด "ยอมรับ" ในเงื่อนไขนั้นครับ จะมีการให้เราตรวจสอบความถูกต้อง และยืนยันการใช้บริการ โดยให้เราใส่รหัสรักษาความปลอดภัย ถ้าเราเลือกรหัสรักษาความปลอดภัยแบบ OTP ก็จะมี sms ส่งมาบอกรหัส OTP ให้เราทางมือถือ เราก็เอารหัสนั้นมากรอก ก็เป็นอันเรียบร้อย หน้าจอก็จะขึ้นว่าเราสมัครใช้บริการ K-Web Shopping Card สำเร็จแล้ว จากนั้นให้เรารอประมาณ 1 วัน จะมีเมล์มาแจ้งเราว่า บัตร K-Web Shopping Card ของเราได้รับการอนุมัติแล้ว เมื่อบัตรได้รับการอนุมัติแล้ว ให้เราเข้าไป log in ที่ K-Cyber Banking เมื่อ log in เข้าไปแล้วก็คลิกที่เมนู K-Web Shopping Card และเลือกดูรายละเอียดบัตร
ได้ของสำคัญมาแล้วครับ ให้เราเอาปากกามาจดเลขบัตร 16 หลัก หมายเลข CVV
และจดวันบัตรหมดอายุ มาด้วย เท่านี้ละเราก็สามารถเอารหัสเหล่านี้ไปทำการซื้อสินค้าออนไลน์
https://ebank.kasikornbank.com/retail/security/faq_th.jsp
ให้เราไปเปิดบัญชีกับธนาคารกสิกรไทย พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับว่า ขอสมัครใช้บริการ K-Cyber Banking เจ้าหน้าที่เค้าก็จะให้แบบฟอร์มการสมัครมากรอกครับ ในแบบฟอร์มจะมีให้กรอก E-mail ด้วย ตรงนี้สำคัญครับ ต้องกรอก E-mail ให้ถูกต้อง นะครับ เพราะว่าธนาคารจะใช้แจ้งข่าวสาร และการเคลื่อนไหวทางบัญชีของเรา ผ่านเมล์นี้ และจะใช้แจ้งผลการอนุมัติใช้บริการ K-Cyber Banking ด้วยครับ ที่สำคัญอีกอย่างคือเบอร์มือถือครับ ต้องกรอกเบอร์โทรศัพท์มือถือให้ถูกต้อง ด้วยนะครับ เพราะเราต้องใช้มือถือเบอร์นี้ละครับ จัดการเรื่องการรักษาความปลอดภัยทางบัญชีครับ
เมื่อเปิดบัญชีและสมัคร K-Cyber Banking เรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องรอประมาณ 1-2 วันได้ครับ แล้วธนาคารก็จะส่งเมล์มาบอกเราว่าเราได้รับการอนุมัติให้ใช้บริการ K-Cyber Banking ได้แล้วนะ และจะแจ้ง รหัส PIN สำหรับใช้บริการ K-Cyber Banking มาให้ด้วยครับ เมื่อเราได้รับอนุมัติให้ใช้บริการ K-Cyber Banking พร้อมกับได้รหัส PIN มาแล้ว ก็ให้เข้าไปที่หน้าเว็บธนาคารกสิกรไทย http://www.kasikornbank.com/ ให้ดูบริเวณด้านซ้ายมือนะครับ ตรงบริการออนไลน์ให้เรา เลือก K-CyberBanking ครับ
แล้วนะครับ ยังไงจะตั้งชื่ออะไรก็คิดกันดีๆเน้อ....
เสร็จแล้วก็จะเข้ามาสู่หน้าข้อมูลส่วนตัวของเราครับ เราก็ตรวจสอบดูว่าข้อมูลนั้นถูกต้องมั้ย จะแก้ไขเพิ่มเติมตรงไหนก็ใส่ลงไป ตรงช่องที่มีเครื่องหมายดอกจัน (*) เราต้องเติมให้ครบนะครับ เมื่อตรวจสอบทุกอย่างครบเรียบร้อยแล้วก็กดยืนยันได้เลยครับ.....
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นการตั้งค่ารหัสรักษาความปลอดภัยครับ ตรงนี้ชอบมากเลยครับ เพราะว่าเค้ามีบริการรหัสรักษาความปลอดภัยแบบ OTP(One Time Password) ที่ชอบก็เพราะว่าทุกครั้งที่เรา log in เข้าไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับบัญชีของเราผ่านทางเว็บ เค้าจะมีให้เราใส่รหัสยืนยันเพื่อรักษา ความปลอดภัยครับ ถ้าเราเลือกแบบ OTP นี้ รหัสรักษาความปลอดภัยดังกล่าวจะส่งผ่านมาทาง เบอร์มือถือของเราครับ และทุกครั้งรหัสก็จะไม่ซ้ำกันด้วยครับ แบบนี้สะดวกดีเพราะเราไม่ต้องมานั่ง จำรหัส แล้วรหัสผ่านก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปลอดภัยดีครับ ฉะนั้นจึงขอแนะนำให้เพื่อนๆ เลือกการตั้งค่า รหัสรักษาความปลอดภัยแบบ OTP นี้ครับ
เมื่อตั้งรหัสรักษาความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการตั้งค่าต่างๆครับ แล้วก็จะเข้าสู่หน้า บัญชีของ K-Cyber Banking ของเรา ซึ่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากของเรา และมีเมนูต่างๆ ให้เราเลือกจัดการทำธุร กรรมกับบัญชีของเราครับ
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634394975628801250
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634394972491770000
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634394969052551250
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634394980688645000
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634395078728645000
ชื่อหน่วยงาน : กรมควบคุมโรค
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634396773076517277
ชื่อหน่วยงาน : กรมพัฒนาที่ดิน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634393200503176250
ชื่อหน่วยงาน : กรมพัฒนาที่ดิน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634393198071926250
ชื่อหน่วยงาน : กรมพัฒนาที่ดิน
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634393195765676250
ชื่อหน่วยงาน : บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (CAT)
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634395989176107946
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634394296936770000
ชื่อหน่วยงาน : กรมควบคุมโรค
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634390690875832500
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทรฺ์)
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634395008658645000
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634388145272343750
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 - วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป
http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634388141937812500
รายได้ทะลุทะลวงขนาดนี้ ถ้าเป็นชาวบ้านเดินดินคงยิ้มหน้าบานไปแล้ว แต่น้องเส้นใสกลับไม่พอใจ เพราะยิ่งหามันก็ยิ่งไม่พอ เนื่องจากบ้าแบรนด์เนม ใส่เสื้อผ้าตัวเป็นหมื่น ถือกระเป๋าใบเป็นแสน นาฬิกาก็ต้องเฉียดล้าน ไม่งั้นจะคันเป็นขี้กลาก ก็เล่นเว่อร์ซะขนาดนั้น ต่อให้มีกี่ล้านก็ใช้ไม่พอ งานนี้น้องเส้นใสก็เลยต้องขยันกรำศึกทำตัวเองให้เป็นข่าว เพื่อสร้างงานสร้างเงินตลอดเวลา
ล่า สุด น้องเส้นใสก็ไปรับจ๊อบพิเศษให้กับลูกชายเจ้าของห้าง แต่ไม่ใช่ไปเป็นนักจ้อเปิดตัวสินค้า หรือใส่เสื้อแหกนมให้ช่างภาพส่องร่อง แต่ไปเป็นแขกคนพิเศษให้กับลูกชายเจ้าของห้าง
เรื่องนี้กำลังหึ่งในวงการไฮโซ เหตุเกิดจากลูกชายคนหนึ่งของเจ้าของห้างดังกำลังจะแต่งงาน ฝ่ายพี่น้องที่คลานตามกันมาก็เลยอยากจะมอบของขวัญเซอร์ไพรส์ให้กับเจ้าบ่าว และรู้ว่าเจ้าบ่าวคลั่งน้องเส้นใสมาก แม่นี่ขึ้นปกโชว์เสียวที่ไหนเป็นต้องซื้อกลับไปซี๊ดที่บ้านทุกครั้ง ก็เลยไอเดียบรรเจิดติดต่อผ่านเอเยนต์ให้น้องเส้นใสมาเซอร์ไพรส์ในวันเลี้ยง สละโสด ชนิดตัวต่อตัวเสื้อผ้าไม่เกี่ยว
ด้านเอเยนต์ก็ซักใหญ่ว่าเป็นใคร ที่ไหน อย่างไร พอรู้ว่างานนี้ไม่ใช่การขายตัวให้กับอาเสี่ยธรรมดา หากแต่มีการจัดเป็นวาระพิเศษก็เลยโขกค่าตัวไปถึงครึ่งล้าน กะว่าจะไม่ทำมาหาแดกอย่างอื่นแล้วว่างั้นเถอะ
ด้านพี่น้องจอมวางแผนแม้จะรู้สึกว่ามันแพงเกินไปสำหรับดาราระดับน้อง เส้นใส แต่ทำไงได้ในเมื่อเจ้าบ่าวมันปลื้ม ไว้ไปเอาคืนตอนขึ้นเตียงก็แล้วกัน ว่าแล้วพี่น้องจอมวางแผนก็ควักเงินสดจ่ายค่ามัดจำหอย พร้อมกับนัดแนะวันเวลาและสถานที่เรียบร้อยเสร็จสรรพ
พอถึงวันนัดน้องเส้นใสก็มาปรากฏตัวในชุดรัดติ้วเสมอจิ๊ พร้อมจะควบตลอดเวลา เล่นเอาพี่น้องจอมวางแผนถึงกับตาค้าง อยากจะแซงคิวฟาดก่อนเจ้าบ่าว แต่ก็กลัวว่าของขวัญมันจะบอบช้ำ ได้แต่ข่มตอเอ๊ย! ข่มใจพาขึ้นไปรอที่ห้องหรูซึ่งถูกจัดไว้เพื่อเชือดน้องเส้นใสโดยเฉพาะ แล้วก็จ่ายเงินที่เหลือให้กับเอเยนต์เป็นอันจบขั้นตอนซื้อหอย
เวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืน พี่น้องจอมวางแผนก็พาเจ้าบ่าวมาส่งในสภาพเมาอ้อแอ้ พอเปิดประตูเข้าไปเจอน้องเส้นใสกำลังนั่งแบะอยู่บนโซฟาเท่านั้นแหละ เจ้าบ่าวถึงกับหูตาสว่างแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาว่านางฟ้าขาวอวบที่เคยโชว์นม ในหนังสือ จะมานั่งนมห้อยอยู่ต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เล่นเอาเจ้าบ่าวทำตัวไม่ถูกหันรีหันขวางไปมองหน้าพี่น้องจอมวางแผน คำตอบที่ได้รับก็คือ ขอให้มีความสุขมากๆ นะ แล้วก็ปิดประตูดังปั๊ง!
พอสิ้นเสียงประตูน้องเส้นใสก็ไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้ามา คาดว่า คงอยากจะทำให้มันเสร็จๆ ซักที เพราะนั่งรอมาชาติกว่า ไม่พูดพร่ำทำเพลงตรงเข้าเบียดเจ้าบ่าวก่อนจะประกบปากด๊วบๆ เจอเข้าแบบนี้ต่อให้งงเป็นไก่ตาแตก ก็คงจะแพ้ลิ้นสว่านของน้องเส้นใส ไม่รู้ไม่สนไม่ต้องมีเหตุผล เล่นมาเบียดบี้ตูซะแบบนี้ ถ้าไม่เอามาทำเมียก็ตุ๊ดล่ะวะ
ว่าแล้วเจ้าบ่าวก็จัดการแกะของขวัญดิ้นได้จนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน ก่อนจะเปิดฉากฟาดกันตุ๊บตั๊บ งานนี้เจ้าบ่าวจัดเต็มไม่ว่าจะนอนคว่ำขมำหงายก็ซัดมันทุกท่วงท่า เล่นเอาน้องเส้นใสหัวสั่นหัวคลอน กว่าจะเสร็จศึกก็หัวฟูหน้าเยินยังกะถูกรุมโทรม
ด้านน้องเส้นใสพอเสร็จภารกิจก็แทบจะคลานลงเตียง เดินไปอาบน้ำอาบท่าชำระคราบตึ๋งหนืด เตรียมจะเผ่นกลับ แต่เจ้าบ่าวขึ้นแล้วดันไม่ยอมว่ะ พอน้องเส้นใสเปิดปั๊กกะตูออกมาก็เลยโดนเจ้าบ่าวกระโดดเข้าใส่หมายจะเอามาทำ เมียอีกรอบ เล่นเอาน้องเส้นใสโวยวายว่าตกลงกันไว้แค่ยกเดียวนี่หว่า
แต่นาทีนั้นใครจะไปสน ว่าแล้วเจ้าบ่าวก็จัดการปล้ำมันซะเลย ด้านน้องเส้นใสก็ดิ้นๆ ยังกะเจ้าเข้า กะว่าเดี๋ยวแม่มคงรำคาญ ที่ไหนได้ยิ่งดิ้นก็ยิ่งยั่วให้เจ้าบ่าวคลุ้มคลั่งหนักกว่าเดิม กว่าจะเสร็จสมอารมณ์หมายน้องเส้นใสก็เลยโดนฟัดจนเนื้อตัวเขียว ร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับบ้านด้วยความเจ็บใจ
ด้านเจ้าบ่าวพอฟื้นคืนชีพก็โม้แหลกว่า โซ้ยน้องเส้นใสมันมาก ฟาดมาเรียบร้อยแล้วทุกท่วงท่า ส่งผลให้ตอนนี้วงการไฮโซเรียกหาชื่อน้องเส้นใสกันเป็นแถว เพราะอยากจะจัดปาร์ตี้เปิบหอยแบบเจ้าบ่าวมั่ง
เป็นไงล่ะ...เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับ “งูตาเดียว” ทั้งเสียวทั้งอายล่ะสิ..อิอิ
ปิดท้ายกันด้วยเรื่องของ “ซูเปอร์สตาร์หน้าเกาหลี” ที่กลับมาถึงเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางเสียงกรี๊ดให้การต้อนรับอย่างหนาแน่น ก่อนจะโม้แหลกถึงประสบการณ์ที่ได้กลับมา
ฟังแล้วก็อยากจะขำกลิ้ง เพราะตลอดระยะเวลาที่ซูเปอร์สตาร์หน้าเกาหลีอยู่ห่างไกล ไม่ได้ใช้ชีวิตลำบากอย่างที่คุยไว้ ไปทำงานก็กินแรงเพื่อน แถมยังงกสุดๆ ไปไหนก็ไม่ค่อยจะออกตังค์ แต่กลับมีปัญญาไปชอปปิ้งของแพงเข้าห้างนั้นออกห้างนี้ทุกวัน และก็ชอบไปคุยเบ่งว่าเป็นซูเปอร์สตาร์เมืองไทย เล่นเอาคนสัญชาติเดียวกันเอือมระอา
ที่สำคัญ สาเหตุที่ต้องกลับมาเร็ว ไม่ใช่ว่าคิดถึงแฟนๆ หรืองานจ่อตูดเหมือนที่พูด หากแต่เป็นเพราะไปถ่ายทำรายการสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ได้ขออนุญาต ก็เลยโดนจับก่อนจะเคลียร์กันลงตัว และลงท้ายด้วยการต้องกลับเมืองไทยแบบสายฟ้าแลบ กว่าซูเปอร์สตาร์หน้าเกาหลีจะไปนั่นได้คงอีกนาน
ฟาก “นางเอกแอ๊บแบ๊วตาเหล่” ปฏิเสธ มาตลอดว่าไม่ได้ไปป๊ะกับซูเปอร์สตาร์หน้าเกาหลี พอเจอหมอนี่แหกยอมรับว่าไปเจอกัน คุณน้องก็เก็บเนื้อเก็บตัวเงียบ ก่อนจะตัดสินใจเลือกหนึ่งในบรรดาผัวๆ มาเป็นตัวละครใหม่ เพื่อให้หลุดพ้นจากการจับตามองเรื่องซูเปอร์สตาร์หน้าเกาหลีซักที แต่ลับหลังก็ยังแอบไปเซิ้งกันอยู่
ไฮโซผัวใหม่ทราบแล้วเปลี่ยน กรุณาหนีบเมียตาเหล่ให้แน่นๆ ด้วยย่ะ…