บางครั้งการยอมรับความจริงก็เป็นเรื่องที่ เจ็บปวด แต่นั่นก็คือลักษณะของความเป็นจริง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรามีแต่ต้องเผชิญมัน แก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไป และก็ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น มีบ้างบางครั้งเราอาจจะแก้ปัญหาโดยการวิ่งหนีความจริง ปิดใจไม่ยอมรับมัน จริงอยู่เราอาจหลีกหนีความจริงได้เพียงชั่วคราว อาจหนีได้เพียงตอนนี้ วันนี้ หรือพรุ่งนี้ แต่รับรองไม่มีใครสามารถหนีความจริงได้โดยตลอดเด็ดขาด แม้แต่คนที่ใช้คาถาที่ขลังที่สุดของอาจารย์โกย ก็ไม่สามารถหลบความจริงได้พ้น
มีคนเคยบอกกับผมว่า "ในชีวิตหนึ่งของเราอาจจะประสบกับความผิดหวังมากกว่าความสมหวัง แต่นั่นก็ไม่สำคัญเพราะใช่ว่าทุกคนจะดีพร้อมเสมอไป ที่สำคัญคือไม่ว่าเราจะผิดหวังมาสักกี่ครั้ง ล้มลงไปสักกี่ครา เราต้องสามารถลุกขึ้นยืนให้ได้ด้วยตัวเองทุกครั้ง " ไม่มีใครสามารถจะช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง ในพุทธสุภาษิตก็มีบอกไว้ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
สำหรับตัวผมเองแล้ว ถือว่ายังโชคดีที่ประสบกับความผิดหวังมาไม่มากนัก สาเหตุที่สำคัญอาจเป็นเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าอีกหลายๆ คน แต่เมื่อปลายปีก่อนผมกลับต้องผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเสียใจอย่างมากเป็น ครั้งแรกในชีวิต ในด้านของความรักแล้ว อาจบอกได้ว่าผมเป็นผู้แพ้ เป็นคนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
"True Love is like ghost, everybody talks about it, but few actually have seen it."
ผมเคยตั้งคำถามให้ตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งไม่แน่ว่าในชีวิตจะได้คำตอบ
เหตุการณ์ ในครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไป หวังว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น :):):)ที่ผ่านมาผมให้ความสำคัญกับคนๆ เดียวมากเกินไป เลยทำให้ผมไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างเท่าที่ควร โดยเฉพาะกับคนที่รู้จักผมมาตลอดชีวิต ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะจะนึกถึงคนเหล่านั้นก่อนเสมอ
ใน วันนั้นผมนั่งรอเธอที่ lobby ของโรงแรมตั้งแต่ หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะกลับมา ทั้งๆ ที่ผมก็บอกกับเธอทางโทรศัพท์แล้วว่าจะมารอพบ ผมนั่งรอด้วยความกระวนกระวายและคอยมองดูนาฬิกาทุกๆ 5 นาที เวลา 5 นาทีในตอนนั้นเหมือนกับ 5 ชั่วโมงมากกว่า
หากมีสิ่งที่ทำให้คุณไม่ สามารถตัดสินใจได้ ทำให้คุณกระวนกระวายใจมากที่สุด สิ่งนั้นคือการ "รอ" เพราะการรอทำให้คุณรู้สึกว่า "คุณจะหยุดก็ใช่ที่ ไม่หยุดก็ใช่ที่" ในใจของคุณคิดอยากจะรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิด ไม่ว่าจะในทางร้ายก็ดี ในทางดีก็ดี คุณอยากจะรู้ผลลัพธ์โดยเร็ว แต่ที่ผมทำได้ในขณะนั้นคือรอเธอ รอเธอเป็นเวลา 6 ชั่วโมงเต็ม หากนับเวลา 2 ปีที่เราไม่ได้พบหน้ากัน ผมรอเธอมาเป็นเวลากว่า 17,520 ชั่วโมงแล้ว
ในชีวิตของเราจะสามารถรอได้เป็นเวลา 17,520 ชั่วโมงสักกี่ครั้ง
ใน คืนนั้นผมรอเธอจนถึงเที่ยงคืน ในใจไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น คิดแต่ว่าเพียงอยากได้พูดคุยกับเธอสักครั้ง เห็นหน้าเธออีกสักครั้งเท่านั้น ทุกครั้งที่ลิฟท์มาหยุดลงที่ชั้น 12 ผมหวังว่าคนที่เดินออกมาจากลิฟท์ทุกครั้งจะเป็นเธอ ผมยังจำได้ในวันนั้นมีลิฟท์ขึ้นมาชั้น 12 เป็นจำนวน 28 ครั้ง ลิฟท์ลงจากชั้น 12 เป็นจำนวน 16 ครั้ง
12.05 a.m. คนที่ผมเห็นเดินออกมาจากลิฟท์ในครั้งนั้นก็ยังไม่ใช่เธออยู่ดี แต่เป็นผู้หญิงสองคน คนนึงเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ท่าทางใจดี เวลาที่เธอยิ้ม หากสังเกตุดีๆ คุณจะเห็นรอยยิ้มจากดวงตาของเธอก่อน แต่ที่ให้ความรู้สึกที่ดีต่อผู้คน คือรอยยิ้มที่จริงใจของเธอ รอยยิ้มของผมก็ได้มาจากเธอนี่เอง เพราะเธอคนนี้คือแม่ของผม แม้ว่าเวลายิ้ม รอยยิ้มของผมอาจไม่น่าดูเท่าเธอ แต่ความจริงใจที่แสดงออกทางรอยยิ้มเป็นสิ่งผมไม่ได้เสแสร้งเด็ดขาด ผู้หญิงอีกคนสูงกว่าเธอประมาณหนึ่งช่วงศรีษระ ผมยาวตาโต ลักษณะตรงกับผู้ชายทุกคนชื่นชอบ เธอคนนี้ก็คือน้องสาวของผม เธอเดินคล้องแขนแม่ของเธอออกจากลิฟท์ ท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนกับทำของสำคัญอะไรสักอย่างหายไป
ขณะที่ผม เห็นเธอสองคนผมก็รู้สึกแปลกใจเพราะผมไม่ได้บอกคนทางบ้านว่าจะไปหาใครที่ไหน แต่อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจ รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างประหลาดที่ได้พบกับแม่และน้องสาวในเวลาที่ผมรู้สึก ท้อแท้ที่สุด รู้สึกเสียใจที่สุด
"เจอเค้ารึยังลูก แล้วมารอตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรไปบอกแม่บ้างปล่อยให้แม่เป็นห่วง"
ผม ก็ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหนก่อนดี และไม่รู้ว่าจะตอบดีรึเปล่า ความรู้สึกของผมตอนนั้นแย่จริงๆ ไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะตอบคำถามใคร ไม่อยากจะขยับไปไหนทั้งสิ้น
แม่ของผมเดินข้ามานั่งบนโซฟาทางด้านขวา มือ ส่วนน้องสาวของผมก็เดินไปที่ห้องของเธอคนนั้นเพื่อเช็คดูว่าเธอกลับมารึยัง หลังจากนั้นเธอก็เดินมานั่งที่โซฟาข้างซ้ายมือของผมพร้อมกับพูดว่า
"เค้ายังไม่กลับมาเลยพี่หนุ่มจะรอต่อไปมั๊ย"
ผมเพียงแค่พยักหน้าอย่างเลื่อนลอยเป็นคำตอบ
ผม ก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าแม่กุมมือของผมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ศรีษระของน้องสาวโน้มลงมาพิงไหล่ของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ในตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าการนั่งของเรา 3 คนจะมีลักษณะเป็นอย่างไร แต่หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คงเป็นแม่ของผมท่านเป็นเสาหลักเสาใหญ่ที่คอยค้ำเสาที่เล็กกว่าอีกสองต้นที่ โน้มเอียงลงมา
ในที่สุดก็เป็นผมที่ทำลายความเงียบ ผมบอกกับเธอทั้งสองคนว่า "แม่เรากลับกันเถอะ คืนนี้เค้าคงไม่กลับมาแล้ว"
"ไม่เป็นไรหรอกลูก ไหนๆ ก็รอมาตั้งนานแล้ว รอต่อไปอีกสักหน่อยจะเป็นไร ไม่แน่เค้าอาจกำลังกลับมา"
จาก นั้นทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมร้องไห้แล้ว ตลอดเวลาที่ผมเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายเข้มแข็ง กลับต้องหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพื่อผู้หญิง ความเหงา ความคิดถึง ความผิดหวัง การรอคอยตลอดเวลา 4 ปี คล้ายกับได้ปลดปล่อยออกมาพร้อมกับการหลั่งน้ำตาในครั้งนี้
ผมพูดกับเธอทั้งสองพร้อมน้ำตาว่า "แม่เรากลับกันเถอะ กลับบ้านของเรากันเถอะ เค้าไม่เหมือนเดิมแล้ว เค้าไม่ได้รักหนุ่มอีกแล้ว"
"แม่…หนุ่มเจ็บเหลือเกิน หนุ่มเจ็บมากจริงๆ"
"แม่รู้จ๊ะ แม่รู้"
ตอน นั้นผมคล้ายกับรู้สึกว่าแม่ผมท่านกุมมือของผมแน่นกว่าเดิม เหมือนดั่งหวาดกลัวว่าผมจะหนีจากท่านไป น้องสาวของผมเหมือนกับว่าอยากจะพูดอะไรกับผมแต่ก็ไม่ได้พูด
หลังจาก นั้นเราทั้งสามคนแม่ลูกไม่ได้พูดอะไรกันอีกสักพักใหญ่ แต่ในตอนนั้นผู้รู้สึกว่าแขน
เสื้อข้างซ้ายของผมเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของน้อง สาว ผมยังได้ยินเสียงเธอสะอื้นเบาๆ เธอคล้ายกับพยายามจะบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้เพราะกลัวผมเสียใจมากไปกว่า เดิม ส่วนแม่ของผมท่านยังกุมมือของผมอยู่ แต่มือของท่านก็เปียกไปด้วยน้ำตาของท่านเช่นกันที่เห็นลูกชายของท่านเสียใจ มากมายถึงเพียงนั้น ท้อแท้และผิดหวังถึงเพียงนั้น
ในตอนนั้นผมอยาก จะออกไปจาก lobby แห่งนั้นโดยเร็วที่สุด ผมรู้สึกโกรธตัวเอง สมเพชตัวเอง ที่ทำให้แม่ร้องไห้ ความเสียใจที่เห็นน้ำตาแม่ในวินาทีนั้นยังมีมากยิ่งกว่าความรู้สึกที่สูญ เสียคนรักไปหลายเท่านัก
ผมพยายามดึงตัวเองขึ้นจากโซฟา ในขณะที่ลุกขึ้นมานั้นผมอาจจะดึงตัวเองจาก "โซ่พันธนาการ" ที่มองไม่เห็น เป็นโซ่ที่ผมคล้องตัวเองไว้กับคนๆ เดียวเป็นเวลากว่า 8 ปี ผมพาแม่และน้องออกไปจากโรงแรมแห่งนั้น ผมพยายามเตือนสติตัวเองว่า ผมจะต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีเธอคนนั้นให้ได้ และนับแต่นี้ไปผมจะไม่ทำให้คนรอบข้าง คนที่ผมมองข้ามความสำคัญของพวกเค้าไป ไม่ทำให้พวกเค้าเสียใจอีก
คนเราไม่ว่าจะเสียใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือคิดไม่ตกนานแค่ไหน ต้องมีเวลาที่ทำใจได้ ต้องมีเวลาหนึ่งที่ทำให้เรา "พลันได้คิด" ช่วงเวลาที่ทำให้ผม "พลันได้คิด" ก็คือตอนที่ผมเห็นน้ำตาแม่นั่นเอง
ผมต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี จึงสามารถทำใจให้สงบลงได้ สามารถปลดปล่อยตัวเองจากโซ่
ในตอนนั้นผมอยาก จะออกไปจาก lobby แห่งนั้นโดยเร็วที่สุด ผมรู้สึกโกรธตัวเอง สมเพชตัวเอง ที่ทำให้แม่ร้องไห้ ความเสียใจที่เห็นน้ำตาแม่ในวินาทีนั้นยังมีมากยิ่งกว่าความรู้สึกที่สูญ เสียคนรักไปหลายเท่านัก
ผมพยายามดึงตัวเองขึ้นจากโซฟา ในขณะที่ลุกขึ้นมานั้นผมอาจจะดึงตัวเองจาก "โซ่พันธนาการ" ที่มองไม่เห็น เป็นโซ่ที่ผมคล้องตัวเองไว้กับคนๆ เดียวเป็นเวลากว่า 8 ปี ผมพาแม่และน้องออกไปจากโรงแรมแห่งนั้น ผมพยายามเตือนสติตัวเองว่า ผมจะต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีเธอคนนั้นให้ได้ และนับแต่นี้ไปผมจะไม่ทำให้คนรอบข้าง คนที่ผมมองข้ามความสำคัญของพวกเค้าไป ไม่ทำให้พวกเค้าเสียใจอีก
คนเราไม่ว่าจะเสียใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือคิดไม่ตกนานแค่ไหน ต้องมีเวลาที่ทำใจได้ ต้องมีเวลาหนึ่งที่ทำให้เรา "พลันได้คิด" ช่วงเวลาที่ทำให้ผม "พลันได้คิด" ก็คือตอนที่ผมเห็นน้ำตาแม่นั่นเอง
ผมต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี จึงสามารถทำใจให้สงบลงได้ สามารถปลดปล่อยตัวเองจากโซ่
พันธนาการเส้นนั้นได้จริงๆ
"I dropped a tear in the ocean... when they find it I'll stop loving you..."
"I dropped a tear in the ocean... when they find it I'll stop loving you..."