จนปัจจุบันได้ขยายขอบข่ายของสินค้าที่จำหน่ายบนเว็บไซต์แห่งนี้ได้อย่างครบคลุมเกือบทุกประเภท
มิหนำซ้ำยังให้ราคาที่ดีกว่าเว็บไซต์บางแห่งอีกด้วย สำหรับเรื่องค่านายหน้าที่ได้รับจะอยู่ที่ 4 - 8.5%
ของราคาขาย ขึ้นอยู่กับหมวดสินค้า
การสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ Amazon ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ผู้ที่สมัครจะต้องมีบล็อก
หรือเว็บไซต์ของตัวเองก่อน แล้วนำเว็บไซต์ที่คิดว่าดูดีที่สุด มีเนื้อหาสาระอยู่แล้วพอสมควรไปสมัคร
กับทาง Amazon.com ด้วยการเข้าไปที่เว็บไซต์ Amazon.com แล้วคลิกที่ Join Associate
(อยู่เมนูข้างล่างสุด)แต่ที่สำคัญนั้นมีข้อแนะนำจากท่านผู้รู้ว่าไม่ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีการติดโฆษณา
อยู่แล้วไปสมัคร
ลักษณะของการเป็น Affiliate กับทาง Amazon นั้น จะเป็นการนำสินค้าที่วางอยู่บนเว็บ Amazon
มาจำหน่าย ซึ่งทำให้เราสามารถสร้างร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่างได้ เช่น
ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายเครื่องตัดหญ้า ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ร้านขายเสื้อผ้า
ร้านขายเครื่องครัว เป็นต้น หรืออาจจะทำเป็นร้านขายสินค้าหลากหลายในร้านเดียวก็ได้
โดยการสร้างร้านค้า หรือที่เรียกว่า astore นั้นก็ไม่ยากเย็นเข็ญใจตรงไหน เพียงนำแบนเนอร์
(Banner) ที่เราสร้างไว้กับทาง Amazon.com ไปติดที่หน้าเว็บไซต์หรือบล็อกของตนเองได้เลย
สำหรับค่าCommission ที่ท่านจะได้จากการขายสินค้าให้กับ Amazon.com นั้น ซึ่งปัจจุบัน
Amazon Associates กำหนดไว้ต่ำสุดที่ 4% และสูงสุดที่ 8.5% ยกเว้นหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้
4% แต่ไม่เกิน $25 ต่อชิ้น เช่น ถ้าเราขายทีวีได้ในราคา $2,000 เราก็จะได้ $25 ซึ่งจริงๆ
แล้วเราควรจะได้ $80 (2,000x4% = 80) แต่ก็มีสินค้าบางกลุ่มที่สามารถได้รับค่าคอมมิสชั่น
สูงถึง 10% และ 15%
ส่วนการชำระเงินค่านายหน้าของ Amazon จะจ่ายเป็นเช็คหรือโอนเข้าบัญชีธนาคาร
โดยหลังจากสมัครและเริ่มทำการขายสินค้าไปแล้ว 2 เดือน หากทำยอดถึงที่กำหนด
ทางอเมซอนก็จะทำการจ่ายเงินค่านายหน้าให้ท่าน และหลังจากนั้นจะจ่ายเงินให้ท่านทุกเดือน
หากทำยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ โดยการเงินจ่ายผ่านธนาคารจะต้องมียอดเงินขั้นต่ำอยู่ที่
10 ดอลลาร์ และถ้าจ่ายเป็นเช็ค จะต้องมียอดเงินขั้นต่ำอยู่ที่ 100 ดอลลาร์
วิธีสมัคร Amazon Affiliate Program
คราวนี้เรามาทำการสมัครเป็นผู้ร่วมขายสินค้าให้กับ Amazon กันเลยครับ
ช่วยชาติดูดเงินดอลล่าเข้าประเทศ เงินไทยไม่รั่วไหลออกนอกครับ
วิธีสมัคร Amazon Affiliate
1. เข้ามาที่เว็บ
https://affiliate-program.amazon.com/
2. คลิกที่ Apply now
3. กรอกข้อมูล อีเมล์ ที่สามารถติดต่อได้ จากนั้นทำการ ติ๊ก ที่ No, I am a new customer.
เสร็จแล้วกดที่ Sign in using our secure server
4. กรอกข้อมูลที่เป็นจริง พร้อมตั้งพาสเวิร์ด เสร็จแล้วกดที่ Continue
5. กรอกข้อมูลส่วนตัวที่เป็นจริง (ตรวจสอบชื่อที่อยู่ให้ถูกต้อง เพราะ amazon จะส่งเช็คมาให้ตามชื่อที่อยู่นี้)
6. กรอกข้อมูลเว็บไซต์ของคุณโดยละเอียด
ของผมเป็น athirach.blogspot.comถ้าคุณยังไม่มีเว็บไซต์หรือบล็อค
ผมแนะนำให้ไปสมัครใช้บริการของ www.blogger.com ก่อนครับ
จากนั้นยอมรับกฎของทางเว็บโดย ติ้ก ที่ Contract Terms เสร็จแล้วกดที่ Finish
เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการสมัคร
7. จากนั้นทาง amazon จะบอกว่าเราสมัครเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ให้เรากดที่ Specify Payment Method Now เพื่อยืนยันวิธีรับเงิน
8. ให้เราเลือกการรับเงินเป็นแบบเช็ค (เราสามารถเปลี่ยนรูปแบบการรับเงินภายหลังได้)
วิธีสร้าง aStore Amazon
วิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าด้วยตนเอง และเลือกโดยAmazon
วิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าด้วยตนเอง
1.ท่านเข้าไปในบัญชีของท่านใน http://affiliate-program.amazon.com/
2เมื่อเข้าไปแล้วต่อไปให้ท่านเลือกคลิกที่เมนู aStore
3.เมื่อเปิดหน้าใหม่ ให้คลิกที่ Add an aStore
4.ต่อไปเป็นการเลือก Tracking ID เขานิยมตั้งให้สอดคล้องกับสินค้าที่เราจะขาย
เช่น สินค้าตัวนั้นชื่อ Omron เขาจะตั้งว่า buy.cheap.omron(ใส่จุดคั่นแต่ละตัว)
เมื่อคลิก Search แล้วใช้ได้ (available) ก็ให้คลิกต่อไปที่ Continue
5.เมื่อมาถึงหน้า Create aStore Pages ให้คลิกที่ Add Category Page
ตรงช่องCategory Title ใส่ชื่อสินค้า เช่น Sony
6.การเลือกสินค้ามีให้เลือก 3 ทาง แต่ในที่นี้เป็นการอธิบายเรื่องการเลือกสินค้าด้วยตัวท่านเอง
ดังนั้นให้เลือก Add individual product และคลิกที่ Add product
7.เมื่อหน้าใหม่ขึ้นมา ตรงที่ Search ให้เลือกหมวดสินค้าช่องบนก่อน แล้วใส่ชื่อสินค้าในช่องล่าง
จากนั้นคลิก Go ก็จะมีสินค้าขึ้นมาให้เลือก อยู่ทางข้างขวามือ ท่านอยากได้สินค้าตัวไหน
ก็คลิกคำว่า Add ข้างหน้าของสินค้าตัวนั้น รูปของสินค้าตัวนั้นก็จะมาปรากฏที่ช่องล่างสุด
ให้คลิกสินค้าได้จำนวนไม่เกิน 540 ชิ้น(จะน้อยกว่าก็ได้) จนพอกับความต้องการ
8.พอได้สินค้าใน category แรกตามจำนวนต้องการแล้ว หากต้องการสินค้าcategory อื่น
ก็คลิกที่ Back to Category แล้วดำเนินการเหมือน category แรก เมื่อได้สินค้าในCategory
ต่างๆครบถ้วนแล้ว ก็ให้ท่านคลิกที่ Save changes และ Continue
9.หน้านี้เป็นองค์ประกอบของหน้าสินค้าของท่าน ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ให้คลิกที่ Continue
10.มาถึงหน้า Sidebar Widgets ไม่ต้องทำอะไร ให้คลิกที่ Finish & Get Link
11ใมาถึงหน้า Your store has been published คือหน้าที่ท่านจะเอาลิงค์ aStore
ไปโปรโมท หากท่านจะนำไปโปรโมทด้วยการนำไป add url ตามเว็บดังๆ เช่น google,yahoo
ก็นำลิงค์จากช่อง Simple link to my store as a standalone site ไปใช้
หากท่านจะเอาไปใส่โฆษณาลงใน blog ของ blogger.com ของท่าน โดยใส่ลงในช่อง
HTML/java Script ก็เอาลิงค์จากช่อง Embed my store using an inline frame ไปใช้
ครับขั้นตอนมีเท่านี้ครับผม.
---------------------------------------------------------------
วิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าโดย Amazon
1.ท่านเข้าไปในบัญชีของท่านใน http://affiliate-program.amazon.com
2ใเมื่อเข้าไปแล้วต่อไปให้ท่านเลือกคลิกที่เมนู aStore
3.เมื่อเปิดหน้าใหม่ ให้คลิกที่ Add an aStore
4.ต่อไปเป็นการเลือก Tracking ID เขานิยมตั้งให้สอดคล้องกับสินค้าที่เราจะขาย
เช่น สินค้าตัวนั้นชื่อ Omron เขาจะตั้งว่า buy.cheap.omron(ใส่จุดคั่นแต่ละตัว)
เมื่อคลิก Search แล้วใช้ได้ (available) ก็ให้คลิกต่อไปที่ Continue
5.เมื่อมาถึงหน้า Create aStore Pages ให้คลิกที่ Add Category Page
ตรงช่องCategory Title ใส่ชื่อสินค้า เช่น Sony
6.การเลือกสินค้ามีให้เลือก 3 ทาง แต่ในที่นี้เป็นการอธิบายเรื่องการเลือกสินค้าโดย Amazon
ดังนั้นให้เลือกที่ Add products by Amazon.com
และคลิกที่ Select an Amazon Category
7.จากนั้นก็จะมีหมวดสินค้ามาให้เลือก ตรวจดูว่าท่านจะเลือกสินค้าหมวดใด
เมื่อเลือกหมวดสินค้าเสร็จแล้ว จากนั้นคลิกทำเครื่องหมายถูกหน้า
Include all subcategories for this category
แล้วคลิก Save Changes และ Continue
8.หน้าต่อไปเป็นองค์ประกอบของหน้าสินค้าของท่าน ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ให้คลิกที่ Continue
9.มาถึงหน้า Sidebar Widgets ไม่ต้องทำอะไร ให้คลิกที่ Finish & Get Link
10.มาถึงหน้า Your store has been published คือหน้าที่ท่านจะเอาลิงค์ aStore ไปโปรโมท
-หากท่านจะนำไปโปรโมทด้วยการนำไป add url ตามเว็บดังๆ เช่น google,yahoo ก็นำลิงค์จาก
ช่อง Simple link to my store as a standalone site ไปใช้
-หากท่านจะเอาไปใส่โฆษณาลงใน blog ของ blogger.com ของท่าน โดยใส่ลงในช่อง
HTML/java Script ก็เอาลิงค์จากช่อง Embed my store using an inline frame ไปใช้
ครับขั้นตอนมีเท่านี้ครับผม.
7 ข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการทำโฆษณาให้ Amazon
1. เลือกสินค้าที่ไม่ดีมาทำโฆษณา
เรื่องนี้ Amazon Affiliate มือใหม่จำนวนมากจะเป็นครับ เพราะหลายๆ คนพอเริ่มลองทำโฆษณา Amazon ก็ไม่รู้ว่า ควรจะเลือกสินค้าอย่างไรดี ไม่รู้วิธีการดูว่าสินค้าไหนที่มีโอกาสทำกำไรได้ ไม่เคยคำนวณรายรับ รายจ่าย กำไรของแต่ละสินค้าก่อนทำโฆษณาเลยสักนิดเดียว
ยังไงพยายามใช้เวลาในการเลือกสินค้าให้มากขึ้น ศึกษาและเปรียบเทียบสินค้าแต่ละชิ้น แล้วเลือกสินค้าที่มีโอกาสทำกำไรได้มากที่สุดมาทำโฆษณาก่อนเสมอจะดีที่สุดครับ
2. ใช้ Keywords กว้างเกินไป ทำให้คนซื้อน้อย และ Conversion Rate
ต่ำ
อย่างหนึ่งที่เราต้องรู้คือ สินค้าที่คนซื้อจาก Amazon ส่วนมากแล้ว จะเป็นสินค้าที่มีราคาไม่แพงมากเกินไปนัก ดังนั้นถ้าหากเราใช้ Keywords กว้างเกินไปจะทำให้ค่า Conversion Rate เราต่ำมากๆ จึงทำให้รายได้ที่เราได้จากการโฆษณาไม่คุ้มกับค่าโฆษณาที่เสียไปครับ
ดังนั้นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือ พยายามใช้เฉพาะ Keywords ที่เจาะจงมากๆ เท่านั้นเพื่อให้ทุกคนที่คลิกเข้ามา กลายเป็นผู้ซื้อสินค้าให้มากที่สุดครับ
3. เขียนข้อความโฆษณาได้ไม่ดี
คนที่เพิ่งทำโฆษณาใหม่ๆส่วนมาก จะไม่ยอมเขียนรายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน จะเขียนโฆษณาเพียงแค่แนะนำให้คนเข้าไปซื้อสินค้าใน Amazon เท่านั้น ซึ่งคนส่วนมากก็จะไม่คลิก และถึงคลิกก็ไม่ค่อยซื้อสินค้าอย่างแน่นอนครับ นอกจากนั้นแล้ว การเขียนโฆษณาไม่ดียังทำให้ CTR ของเราต่ำทำให้ค่าบิดเราแพงกว่าคนอื่นๆด้วยครับ
แนะนำให้ทุกคนเขียนข้อความโฆษณาให้เจาะจงและเหมาะกับ Keywords ที่เราใช้ครับ พยายามนำ Keywords ไปใส่ในหัวข้อโฆษณาและใส่รายละเอียดที่สำคัญของสินค้าลงไปในโฆษณาด้วยครับ
4. ใช้ Landing Page ที่ไม่เหมาะสม
หลายคนที่ทำโฆษณา Amazon มักจะส่งคนคลิกโฆษณาไปยังหน้า Homepage หรือหน้าเปรียบเทียบสินค้าหลายๆอย่าง เพราะคิดว่าคนคงจะไปตามหาสินค้าที่ตนเองต้องการได้ แต่ผิดถนัดครับ คนบนโลกออนไลน์มักจะไม่ค่อยชอบเสียเวลาหาสินค้าเองสักเท่าไหร่ ทำให้การใช้ Landing Page อย่างนี้ เรามักจะมีแต่คลิกอย่างเดียว แต่ไม่มี Order เลยสักอัน
ดังนั้นต่อไปขอให้เราทำโฆษณาโดยส่งคนไปยังหน้า Landing Page ที่เจาะจงมากที่สุด ก็คือ หน้ารายละเอียดของสินค้านั่นเองครับ และจากเท่าที่ได้พูดคุยกับ Amazon Super Affiliate ทั้งหลาย ก็พบว่า หน้าที่คนเหล่านี้ใช้เป็น Landing Page กัน ก็คือ หน้ารายละเอียดของสินค้านั่นเอง
5. ไม่ยอมทำการวัดผลโฆษณา หรือ ไม่มีรูปแบบการวัดผลที่ดีพอ
การวัดผลโฆษณาของ Amazon เป็นอะไรที่ลำบากกว่าการวัดผล Affiliate Program เจ้าอื่นๆ เพราะต้องทำเยอะมาก ส่งผลให้หลายๆ คนไม่ยอมทำการวัดผลเลย หรือบางคนทำแล้วแต่ไม่ทำการวัดผลที่ละเอียดพอ ก็ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้น ให้ทำกำไรมากขึ้นได้
คำแนะนำเดียวเลยครับว่า ถ้าหากเราไม่ทำการวัดผลโฆษณา เราย่อมไม่สามารถทำกำไรได้แบบยั่งยืน ดังนั้นต่อให้ต้องเหนื่อย ต้องเก็บรายละเอียดมากแค่ไหนเราก็ควรต้องทำการวัดผล เพื่อให้เราทราบสถานะธุรกิจของเราอยู่เสมอครับ
6. ไม่ยอมศึกษาและวิเคราะห์สถิติต่างๆให้ดี
สถิติต่างๆที่เราหามาได้ ไม่ว่าจะเป็นจากการวัดผลของเราเอง หรือ จากการใช้เครื่อง มือต่างๆหามาได้ มีความสำคัญมาก แต่คนทั่วไปกลับไม่ค่อยเห็นคุณค่า และมักจะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้อยู่เฉยๆ ไม่ยอมนำมาวิเคราะห์เพื่อศึกษาหาแนวทางใหม่ๆในการทำธุรกิจทำให้สุดท้ายแล้ว เราก็จะเริ่มถูกคู่แข่งของเราไล่ตามเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และอาจจะแซงเราไปในที่สุดครับ
ยิ่งเราสามารถวิเคราะห์และนำสถิติมาใช้ในการทำธุรกิจได้เยอะเท่าไหร่ เรายิ่งจะประหยัดเวลา และ เพิ่มกำไรในธุรกิจได้มากขึ้นเท่านั้นครับ ดังนั้นเริ่มจาก วันนี้ครับ ลองเข้าไปดู Report ต่างๆของ Amazon ลองมองให้เข้าใจว่า แต่ละคอลัมน์สื่อถึงอะไรบ้าง และข้อมูลอะไรที่เราสามารถนำไปใช้ได้บ้างครับ
7. ไม่ยอมติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นต่างๆ
Affiliate จำนวนมาก มักจะหมกหมุ่นอยู่กับการทำโฆษณาสินค้ามากเกินไป จนลืมที่จะอ่านข้อมูลข่าวสารอื่นๆรอบๆตัว ทำให้หลายๆครั้ง แม้เราจะเก่งโฆษณาแค่ไหนก็ตาม ก็อาจจะทำเงินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเราไม่สามารถหาโอกาสงามๆให้เราได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ครับ
ทาง Amazon จะแจ้งข่าวสารและโปรโมชั่นสินค้าใหม่ๆให้ทาง Affiliate รับรู้อยู่เสมอ ขอให้เราใช้เวลาสักวันละ 20 นาทีในการอ่านข่าวสารใหม่ๆครับ รับรองว่าเราจะเก่งขึ้นและทำเงินได้มากขึ้นเองโดยอัตโนมัติเลยครับ
เมื่อรับรู้ข้อผิดพลาดทั้ง 7 ข้อแล้ว ก็อย่าลืมดูนะครับว่า ที่เรายังไม่ประสบความสำเร็จนั้น เรากำลังทำผิดในข้อไหนอยู่หรือเปล่า ก็ขอให้รีบแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ รับรองว่าวันหนึ่งต้องกลับมาทำกำไรได้แน่นอนครับ
การหา Keywords มาทำโฆษณา Amazon
เนื่องจากถ้าหากเราต้องการทำโฆษณาสินค้า Amazon ผ่านทาง PPC แล้ว การหา Keywords นั้น
เป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญกับเรามากๆ ครับ เราสามารถเปรียบ Keywords ได้กับทรัพย์สินของเรา
เลยทีเดียว เพราะถ้าหากเราหา Keywords ที่ดีมาทำโฆษณาสินค้าและทำกำไรให้เราได้
เราก็จะสบายไปได้ชั่วชีวิตเลยทีเดียว
ทีนี้ Keywords ที่ดี คืออะไร?
คนส่วนมากจะมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มาก เพราะคนทั่วไปจะคิดว่า Keywords ที่ดี คือ Keywords ที่มี
คนค้นหาเยอะและคลิกเยอะ แต่ความจริงแล้ว Keywords ที่ดี และเหมาะสมในการทำโฆษณาจริงๆ ก็คือ
Keywords ที่มีอัตราคนซื้อสินค้าสูงครับ (Conversion Rate และ ROI สูง) เพราะคงจะไม่มีใครอยากจะให้
โฆษณาของเรามีคนเห็นเยอะ คลิกเยอะ แต่ไม่มีคนซื้อ อย่างแน่นอน ถูกต้องไหมครับ
และเนื่องจากเราได้ค่าคอมมิสชั่นจาก Amazon ประมาณ 4% - 8.5% เท่านั้น
ซึ่งเมื่อมาคิดดูแล้วก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงควรจะต้องประหยัดงบโฆษณาให้มากที่สุด
ด้วยการเลือก Keywords ที่มีคนซื้อมากๆครับ (ไม่ใช่คลิกมากๆ แต่ไม่ซื้อ) ซึ่ง Keywords เหล่านั้น
ก็คือ Buying Keywords นั่นเองครับ โดยเราสามารถคิดค้นและค้นหา Buying Keywords เหล่านี้ได้จาก
1. Brain Storming
ให้เราทำการสำรวจรายละเอียดต่างๆ ของสินค้า ทั้งหมวดหมู่สินค้า ชื่อรุ่น ชื่อยี่ห้อต่างๆ ที่เราสามารถนำมาใช้เป็น Keywords ได้ ก็ให้นำมาใช้ครับ เพราะ Keywords เหล่านี้ มีเปอร์เซ็นต์ที่คนค้นหาแล้วจะซื้อสูงครับ
2. Keyword Tools
ให้เราลองค้นหา Keywords อื่นๆเพิ่มเติม โดยเฉพาะ Keywords ที่คนทำการค้นหาบน Google ด้วยเครื่องมือฟรีที่ทาง Google จัดหามาให้ครับ และแน่นอนให้เราดูด้วยว่า แต่ละ Keywords นั้น มีคนค้นหาต่อวัน ต่อเดือนเป็นจำนวนเท่าไหร่ คุ้มค่าหรือไม่ที่จะนำมาทำโฆษณาครับ
=> https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal
และนอกจากนั้น เราก็ควรจะศึกษาแนวโน้มและความนิยมในแต่ละ Keywords ด้วยว่า Keywords ไหนมีคนค้นหามากน้อย ในช่วงเวลาใดครับ ด้วยบริการฟรีจาก Google อีกเช่นกัน
=> http://www.google.com/insights/search/
3. ทำการสร้างกลุ่ม Keywords ที่จะมีคนซื้อสินค้ามากขึ้น ด้วยการเติมคำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้า เช่น buy, cheap, best prices, cheap price ลงไปให้กับ Keywords ที่เราเลือกไว้ครับ ซึ่งแน่นอนว่า เราอาจจะเติมด้วยตนเองก็ได้ แต่ก็อาจจะเสียเวลามากหน่อย หรือเราอาจจะใช้เครื่องมือในการเติมคำเหล่านี้ลงไปก็ได้
=> http://www.keywordcool.com
เพียงเท่านี้ Keywords ที่หามาได้ ก็จะกลายสภาพเป็น Buying Keywords ที่พร้อมจะมีคนซื้อเยอะแล้ว
ให้ลองทำไปทำโฆษณาได้เลยครับ
การเลือกสินค้าและเปรียบเทียบราคาของ Amazon
การทำ Affiliate ให้กับเว็บไซต์ที่มีสินค้าประเภท Consumer Product หลากหลาย ชนิดอย่าง Amazon นั้น วิธีและขั้นตอนในการเลือกสินค้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะยิ่งเราเลือกสินค้าที่ดีมาทำโฆษณาได้เท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสทำกำไรได้ง่ายขึ้นเท่านั้นครับ
และสิ่งที่เราควรจะทำก่อนตัดสินใจเลือกสินค้าชิ้นหนึ่งๆ มาทำโฆษณาก็คือ การเปรียบเทียบราคาสินค้าชิ้นนั้นกับท้องตลาดเพื่อดูว่า ราคาที่ขายใน Amazon เมื่อเทียบกับ ราคาที่ขายบนเว็บไซต์อื่นๆแล้ว มากน้อยกว่ากันอย่างไร
ถ้าหากเปรียบเทียบกันแล้ว สินค้าใน Amazon มีราคาถูกกว่า ที่วางขายในเว็บไซต์อื่นๆทั้งหมด (ที่วางขายตามห้างไม่ต้องพูดถึง เพราะ Amazon ถูกกว่าเยอะอยู่แล้ว) ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่ดีมาก ในการนำสินค้าชิ้นนี้มาทำโฆษณา เพราะว่า คนทั่วอินเตอร์เน็ตจะต้องแห่มาซื้อสินค้าชิ้นนี้จากใน Amazon ครับ
แต่ถ้าหากว่ามีบางเว็บไซต์ที่ขายสินค้าราคาถูกกว่า Amazon ก็ให้เราดูด้วยว่าสินค้าที่สั่งจากเว็บไซต์นั้น คิดค่าส่งด้วยหรือเปล่า ถ้าคิดก็ต้องนำมารวมด้วยก่อนจะไปเทียบกับ Amazon และให้ดู Review ของคนที่เคยซื้อสินค้าจากเว็บไซต์นั้นๆ ว่า ดีแค่ไหน ครับ เพราะส่วนมาก ถ้าหากถูกกว่ากันนิดหน่อย แต่ว่าเว็บไซต์ที่ราคาถูกกว่านั้น บริการไม่ดี ไม่น่าเชื่อถือ คนก็จะมาซื้อกับ Amazonครับ
แต่ถ้าหากว่าเว็บไซต์ที่ขายราคาถูกกว่าเป็นเว็บชื่อดังอย่างพวก CircuitCity ก็ให้ระวังๆ ไว้นิดนึงครับ เพราะคนอาจจะแห่กันไปซื้อจากเว็บไซต์เหล่านั้นได้ครับ
สำหรับการเปรียบเทียบราคาสินค้านั้น เราสามารถเข้าไปเปรียบเทียบได้ง่ายๆ ด้วยเว็บไซต์เหล่านี้ครับ
1. PriceScan
เพียงแค่พิมพ์ชื่อยี่ห้อ ชื่อรุ่นสินค้าลงไป เราก็จะทราบได้ทันทีว่า สินค้านี้มีวางขาย อยู่ที่เว็บไซต์ไหนอีกบ้าง และ แต่ละเว็บไซต์ขายราคาเท่าไหร่ รวมทั้งดูได้ด้วยว่า ส่งสินค้าฟรีหรือเปล่าครับ
นอกจากนั้น เรายังสามารถเข้าไปดูกราฟ แนวโน้มราคาได้ว่า เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร เพื่อนำไปวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการทำกำไร และใช้ในกลยุทธการตั้งราคาบิดได้ครับ
2. Google Product
ยี่ห้อ Google ก็การันตีความเจ๋งได้ระดับนึงครับ เว็บไซต์นี้เป็นแหล่งรวมของสินค้าต่างๆ ที่มีวางขายอยู่บนอินเตอร์เน็ต ที่ให้ผู้ขายสามารถเข้ามาเขียนแนะนำสินค้าได้ฟรี ดังนั้นเว็บไซต์จำนวนมากจึงมาเขียนแนะนำสินค้าไว้ที่นี่
ซึ่งเราก็เลยสามารถนำมาทำการค้นหา สินค้าที่เราต้องการได้ด้วยเช่นกันว่าสินค้านี้มีวางขายที่ไหนอีกบ้าง และขายในราคาเท่าไหร่ มีคนพูดถึงเว็บไซต์ที่ขายว่าอะไรบ้าง
3. mPire
เป็นอีกเว็บนึ่งที่น่ารัก และให้ข้อมูลที่ดี กล่าวคือ เว็บไซต์นี้นอกจากจะบอกว่าสินค้ามีวางขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่แล้ว ยังจะบอกให้เราทราบด้วยว่า สินค้าชิ้นนี้มีคนประมูลที่ eBay ได้ในราคาประมาณเท่าไหร่
รวมทั้งเราสามารถดูแนวโน้มราคาสินค้าได้ว่า กำลังขึ้นหรือลง ทำให้ทราบความแรงของสินค้าได้ว่า จะขายดีได้ต่อไปอีกนานแค่ไหนครับ
แต่เท่าที่คอยเปรียบเทียบราคาสินค้ามาเรื่อยๆ พบว่า ถ้าหากสินค้าที่เราเลือกนั้น เป็นสินค้าที่ขายดีอยู่แล้วใน Amazon (โดยดูจาก Best Sellings,Rating, Review เป็นต้น) ราคาที่ขายใน Amazon นั้น ก็จะไม่ต่างจากที่ขายกันทั่วไปเท่าไหร่ จะถูกแพงกว่ากันก็นิดหน่อย แต่ด้วยแบรนด์ Amazon ก็จะทำให้ขายได้ดีอยู่แล้วครับ
การทำโฆษณาสินค้าใน Amazon
ในการทำโฆษณาสินค้าใน Amazon นั้น เราทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า สามารถแบ่งวิธีการทำโฆษณา/ หา Keywords ออกได้เป็น 2 แบบ ก็คือ
1. โฆษณาแบบ Mass คือ การทำโฆษณาตัวเว็บไซต์ Amazon.com เลย เพื่อให้คนเข้ามาซื้อสินค้ากันในเว็บไซต์ จะเป็นสินค้าอะไร ยี่ห้ออะไรก็ได้ ซึ่ง Keywords ที่ใช้ก็เช่น online shopping, buying gift เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าเป็น Keywords กลางๆ ที่เรียกให้คนเข้าเว็บไซต์มากๆ
2. โฆษณาแบบ Niche คือ การทำโฆษณาสินค้าเฉพาะบางอย่าง หรือ บางประเภทใน Amazon เพื่อให้คนที่สนใจสินค้าจริงๆ เจาะจงเข้ามาใน Amazon เพื่อซื้อสินค้าที่เราทำโฆษณาอยู่เลย ซึ่ง Keywords ที่ใช้ ก็จะเป็นประมาณ sony digital camera, Samsung hdtv เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าเป็น Keywords ที่มีการะบุชื่อรุ่น หรือ ชื่อสินค้า ชัดเจนมากขึ้น
หรือสำหรับใครหลายๆคน อาจจะมีแยกแบบที่ 3 ออกมาด้วย ก็ได้คือ
3. โฆษณาแบบ Nass คือ การทำโฆษณาสินค้าชนิดต่างๆใน Amazon โดยไม่ได้มีการระบุลงลึกไปมากเท่าไหร่ เหมือนกับเน้นให้คนที่สนใจสินค้าชนิดนั้นๆ เข้ามาเลือกดูสินค้าแต่ละยี่ห้อ และตัดสินใจซื้อ สินค้าที่ดีที่สุดให้ตนเอง ซึ่ง Keywords ที่คนนำมาใช้โฆษณาแบบ Nass นี้ เช่น hdtv on sale, classic electric guitar, wedding diamond rings เป็นต้น
ซึ่งการโฆษณาแบบ Nass นี้ บางคนก็จัดให้อยู่ในประเภทเดียวกับ Mass บางคน ก็จัดอยู่ในประเภทเดียวกับ Niche แล้วแต่ใครเห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะว่าการโฆษณาแบบ Nass นี้ ก็คล้ายกับเป็นการนำคนจำนวนมากเข้ามาในเว็บไซต์ ด้วยความสนใจในสินค้าบางอย่าง แต่หลายๆครั้ง คนที่เข้ามาก็ไม่ได้ซื้อสินค้านั้นๆ กลับไปซื้อสินค้าอื่นแทน เหมือนเป็นลูกผสมระหว่าง Mass กับ Niche นั่นเอง
(เพื่อความสะดวก ผมก็ขอพูดถึงการโฆษณาแค่ 2 ประเภทนะครับ คือ แบบ Mass กับ แบบ Niche ส่วนแบบ Nass นั้น เพื่อนๆก็ไปตัดสินใจเอาเองนะครับว่า ต้องการนำเข้าไปรวมกับแบบใด)
เวลาใดก็ตามที่มีทางเดิน 2 ทางให้เราเลือก เราจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ต้องมีทางใดทางหนึ่งที่ดีกว่าอีกทาง ทำให้หลายๆคนคงเคยสงสัยว่า ตนเองควรจะทำโฆษณาแบบ Mass หรือแบบ Niche จะดีกว่ากัน อันไหนจะให้รายได้ที่ดีกว่า
คำตอบจากผมง่ายๆครับ คือ ลองทำและวัดผลดูทั้ง 2 แบบ เพราะตราบเท่าที่เรายังไม่เคยทดลองทำ เราจะไม่มีทางรู้ผลลัพธ์ได้เลยว่า อะไรดีกว่ากัน
และผมว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นกับบุคคลอีกด้วยครับ เพราะว่า กรรมเก่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน (ประสบการณ์ ความถนัด ความชอบ ความคุ้นเคย และอื่นๆ) ทำให้บางคนอาจจะถนัดและทำเงินจากแบบ Mass ได้มากกว่าแบบ Niche ในขณะที่บางคนทำโฆษณา Mass แทบตายไม่เคยได้เงิน แต่พอย้ายไปทำแบบ Niche ปุ๊บ ได้เงินปั๊บ
ผมก็ขอให้คำแนะนำในการเลือกโฆษณาทั้ง 2 แบบ ไว้ดังนี้ครับ
1. ถ้าหากเป็นไปได้ ควรทำโฆษณาทั้ง 2 แบบ
เพราะว่าระดับค่าคอมมิสชั่นใน Amazon จะเป็นแบบขั้นบันได ยิ่งเราขายสินค้าได้มากชิ้น ค่าคอมมิสชั่นเราก็จะเพิ่มไปด้วย เช่น เมื่อเราขายได้เกิน 630 ชิ้น เราจะได้ค่าคอมมิสชั่นถึง 8%
ดังนั้นเราควรจะทำโฆษณาแบบ Mass เพื่อให้ยอดสินค้าของเรามีมากๆในแต่ละเดือน เพื่อให้ค่าคอมมิสชั่นที่เราได้จากการทำโฆษณาแบบ Niche นั้น เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยกัน ก็จะเป็นวิธีการสร้างรายได้เพิ่มให้กับเราโดยอัตโนมัติครับ
2. โฆษณาแบบ Niche เฉพาะสินค้าที่มีราคาแพงๆ
เพราะว่า ยิ่งสินค้ามีราคาแพง เราก็จะได้รับค่าคอมมิสชั่นสูงไปด้วย จะทำให้เราสามารถเพิ่มค่า bid ใน PPC ต่างๆมากขึ้นไปได้อีก ก็จะทำให้เราโฆษณาอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆได้อีกหน่อย
และที่สำคัญการโฆษณาแบบ Niche นั้น สร้างความยุ่งยากให้กับเรามากกว่าแบบ Mass เพราะเราต้องศึกษารายละเอียดของสินค้า และนำมาเขียนโฆษณาให้ดี ดังนั้น เมื่อเราจะเหนื่อยมากขึ้น ค่าตอบแทนที่ได้รับกลับมา ก็ควรจะคุ้มค่าเหนื่อยเช่นกัน
3. อย่าลืมใช้ Landing Page ที่เหมาะสมในการโฆษณาแบบ Niche
เพราะในการโฆษณาแบบ Niche เราใช้ Keywords และ Ads ที่เจาะจงมากๆ ดังนั้น เราจึงควรส่งลูกค้าทุกคนไปยังหน้าสินค้าที่เค้ากำลังค้นหาอยู่ทันที ซึ่งจะทำให้ค่า Conversion Rate ของเราสูงขึ้นได้ครับ
4. โฆษณา Mass หนักๆในช่วง Seasonal
ในช่วงหน้าเทศกาลต่างๆที่คนจำเป็นต้องซื้อของขวัญ เพื่อมอบให้กับคนอื่นๆ เช่น ช่วงปีใหม่เป็นต้น เราควรจะเร่งทำโฆษณาแบบ Mass เพราะว่า คนจำนวนมากเหล่านี้ ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญดี ทำให้หลายๆคนเข้ามาเว็บไซต์ Amazon แล้ว จึงค่อยๆคิด ว่าจะไปซื้อของขวัญอะไรดี และสุดท้ายก็เลือกซื้อของบางอย่างใน Amazon ไปเป็นของขวัญนั่นเอง
5. การเขียนข้อความโฆษณา
การเขียนข้อความโฆษณาแบบ Mass คงไม่มีอะไรมาก แต่สิ่งหนึ่งที่แนะนำให้เขียนไว้เลย คือ ชื่อแบรนด์ Amazon.com รวมทั้งการเขียนว่า สามารถซื้อของได้ในราคาถูก หรือ ถูกทุกอย่างที่คุณซื้อ ประมาณนี้ จะช่วยเรียกคนให้คลิกได้มาก
ส่วนการเขียนโฆษณาแบบ Niche นั้น ก็ควรจะมี ยี่ห้อ หรือมีชื่อแบรนด์ของสินค้าที่เราทำโฆษณาใส่ลงไปด้วย รวมทั้งมีการเขียน Display URL เป็น directory ต่างตามประเภทสินค้า เช่น amazon.com/music เป็นต้น ก็จะช่วยให้ข้อความโฆษณาดูน่าสนใจมากขึ้น
6. ดูรายการสินค้าขายดีจากแบบ Mass มาแยกทำโฆษณาแบบ Niche
อย่าลืมว่าทาง Amazon จะแสดงรายการสินค้าที่เราขายได้ขึ้นมาใน Earning Report และ Order Report ด้วย ดังนั้นเมื่อเราทำโฆษณาแบบ Mass ที่มีคนซื้อสินค้าเยอะๆ เราอาจจะเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น เพื่อดูว่า คนซื้อสินค้าอะไรมากเป็นพิเศษ จากนั้นก็ให้ลองทำโฆษณาสินค้ารุ่นนั้น ยี่ห้อนั้นแบบ Niche ดูครับ
7. Bid ต่ำๆในการโฆษณาแบบ Mass
การโฆษณาแบบ Mass นั้น จะมีคนซื้อสินค้ามากก็จริงอยู่ แต่ว่าสินค้าที่คนซื้อส่วนใหญ่ จะเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างถูก ทำให้ค่าคอมมิสชั่นเราก็น้อยไปด้วย ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้ ควรจะทำโฆษณาเฉพาะใน Mass Keywords ที่มีราคาถูกๆ (ไม่ควรเกิน $0.3) ก็จะทำให้เรามีโอกาสได้กำไรมากขึ้น
และสิ่งสุดท้ายที่ต้องการฝากไว้คือ อย่าลืมทำการวัดผลโฆษณาควบคู่กันไปด้วยเสมอ เพราะนั่นจะเป็นหนทางที่ทำให้เรา สามารถปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้น ให้สามารถทำกำไรกลับมาได้ในอนาคตครับ
ขอให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วนะครับ
ถ้าอยากเอาสินค้าลงเป็นชิ้นๆต้องทำยังไงหรอครับ ?