เป็นโสดทำไม? | คลังความรู้เล็กๆ รู้อะไรมาก็ใส่ลงไป

เป็นโสดทำไม?


เป็นโสดทำไม?
14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 09:30:00
ชีวิตสมรสเป็นยาชูกำลัง ที่ไม่เพียงหล่อเลี้ยงจิตใจให้กันและกัน คู่สมรสยังมีสุขภาพกาย และใจดีกว่าคนที่อยู่เป็นโสด หรือเป็นหม้าย บางคู่นอกจากมีชีวิตที่สมบูรณ์แล้ว ร่างกายยังสมบูรณ์พูนสุขจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : "เป็นโสดทำไม ตายไปอายยมบาล ท่านรู้ว่าไม่แต่งงานเดี๋ยวจะพาลไม่ให้ไปเกิด" เสียงเพลงของสุรพล สมบัติเจริญ ถูกนำมาเปิดหยอกเย้าคนโสดผู้เดียวดายในวันวาเลนไทน์ และเป็นอีกวันหนึ่งที่สำนักงานเขตบางรักมีคู่รักชายหญิงจูงมือมาจดทะเบียนสมรสกันอย่างคึกคัก

ไม่เฉพาะแต่วันวาเลนไทน์เท่านั้นที่เขตบางรักได้มีโอกาสต้อนรับคู่สร้างคู่สม ไม่ว่าจะเป็นวันไหน หลายคู่ชีวิตเลือกให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตบางรักเป็นสักขีพยานแห่งรักของพวกเขา

เฉพาะปี 2549 มีคู่สมรสมาจดทะเบียนสมรสที่เขตบางรักสูง 6,112 คู่ มากที่สุดในเขตกรุงเทพมหานครเหมือนกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยชื่อเขตที่ฟังดูเป็นมงคลดูเหมาะสมกับฤดูแห่งรัก

แต่จะว่าคนไทยยึดถือชื่อเป็นสรณะจริงจังก็ไม่เชิง บทน้ำต้มผักไม่หวานแล้ว คู่ร้างก็ไม่นึกขำเลือกไปจดทะเบียนหย่าร้างที่บางพลัด

เมื่อย้อนกลับไปดูฤดูแห่งรักปี 2548 มีคู่สมรสจดทะเบียนอยู่กินกันอย่างออกหน้าออกตา 345,234 คู่ ลดลงอย่างฮวบฮาบเมื่อเทียบกับปี 2547 แต่ปีเดียวกันนี้มีคู่ร้างรา 90,688 คู่ เส้นกราฟการสมรสสูงขึ้นทุกปี เส้นกราฟการหย่าร้างก็สูงขึ้นทุกปีเช่นกันตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น


เมื่อคนสองคนตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แน่นอนว่าชีวิตที่เคยอิสระอยากทำอะไรก็ได้ตามใจย่อมหมดไป และอยู่ไปเลี่ยงไม่ได้ที่จะเริ่มมีปากเสียง และยิ่งมีเจ้าตัวเล็กชีวิตยุ่งวุ่นวายเข้าไปอีก ต้องคอยดูแลอาหารการกินให้หลากหลาย ยังมีค่าหมอที่ต้องจ่าย งานบ้านก็หนักยิ่งกว่าออกลูก
ไหนจะงานที่ออฟฟิศอีก แล้วยิ่งถ้าต้องมาเผชิญกับคุณชายที่ชอบเถียงว่า "ผมรู้น่าว่าผมเป็นคนยังไง" แต่ตายังจ้องการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไม่กะพริบ กับอีกหลายเรื่องที่น่าปวดขมับ

"ชีวิตอิสระ" จึงเป็นนิยามที่หนุ่มโสดสาวโสดรักและหวงแหนเป็นนักหนา แถมยังวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตคู่เสียอีกแน่ะว่า เป็นบ่อเกิดของความเครียด (ซึ่งก็จริง) เป็นแหล่งกำเนิดของความขัดแย้ง (ก็จริงอีกแหละ) และสร้างปัญหาได้ไม่หยุดหย่อนที่จำเป็นต้องแก้ไขให้ลุล่วง (เห็นด้วยอย่างยิ่ง)
แต่ชีวิตคู่ยังมีด้านที่ดีอีกมากมาย และหลายคู่ชู้ชื่นยินยอมพร้อมใจเผชิญกับปัญหาทุกอย่างขอแค่ให้ได้อยู่ร่วมกันเป็นพอ จากการรวบรวมข้อมูลช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาพิสูจน์ชัดแล้วว่า ท่ามกลางความท้าทายทั้งหลายแหล่ ชีวิตคู่เป็นกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่ดีที่สุดในชีวิต
งานวิจัยเมื่อปี 2549 เฝ้าตามดูอัตราการเสียชีวิตของผู้คนในช่วง 8 ปีพบว่า
58% ของคนที่ไม่เคยแต่งงานมีแนวโน้มเสียชีวิตในช่วงเวลาดังกล่าวมากกว่าคนที่แต่งงาน
อย่าแปลกใจไป เพราะคนแต่งงานแล้วหมายความว่าพวกเขาหมดโอกาสสำมะเลเทเมาหัวราน้ำ บาร์ไม่เลิกข้าไม่กลับ คนแต่งงานแล้วจะมัวแต่กินมาม่าแทนมื้อเย็นน้อยลง

ย้อนกลับไปดูงานวิจัยที่กรมป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐศึกษาไว้เมื่อปี 2547 พบว่าคนมีเหย้ามีเรือนมีแนวโน้มสูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าน้อยลงเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยเข้าสู่ประตูวิวาห์ หม้าย หรือพวกหย่าร้าง
วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปพลอยช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง และโรคทางเดินหายใจ บางครั้งคุณอาจบ่นว่า แฟนทำให้คนเจียนบ้า มันก็จริง แต่คนแต่งงานแล้วกลับมีแนวโน้มป่วยทางจิต หรือฆ่าตัวตายน้อยลง
นักวิจัยพบว่า ประโยชน์ด้านสุขภาพจากการแต่งงานเป็นเหมือนกันทุกชาติทุกภาษา ทุกระดับการศึกษา และฐานะ ถึงแม้จะยังไม่มีงานวิจัยทำนองเดียวกันนี้กับคู่เกย์ แต่มีโอกาสที่คู่รักเพศเดียวกันจะได้รับประโยชน์อย่างเดียวกัน

เหตุผลเบื้องหลังเห็นชัดกันอยู่แล้วว่า โดยธรรมชาติแล้วคนที่เคยสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าย่อมเปลี่ยนพฤติกรรมไปโดยปริยาย เพราะใครจะทนสายตาประณามหยามเหยียดที่คนรักส่งประกายดุจคมมีดมาให้ ความเครียดและภาวะเซ็งจิตก็พลอยลดน้อยลงไป เพราะคนร่วมชายคาจะคอยดูแลห่วงใยอยู่เสมอ การแต่งงานยังมีคุณูปการสำคัญอีกประการที่นักวิทยาศาสตร์ และหมอเริ่มยอมรับอย่างเต็มอกเต็มใจ

หนาวเนื้อห่มเนื้อ
สิ่งที่ทำให้คู่สมรสมีสุขภาพดีไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ภายในร่างกายของเราเอง การแต่งงานช่วยให้บริหารความเครียดได้ดีชะงัด เนื่องจากเวลาเกิดความเครียด ร่างกายจะกระตุ้นกระบวนการทางชีวภาพเกี่ยวพันกับฮอร์โมน ต่อม และวงจรประสาท ออกมาตามลำดับขั้น แต่ละกระบวนการกระตุ้นการทำงานไปทีละขั้นจนครบวงจร
ยกตัวอย่าง เวลาขับรถมาทำงานเจอรถติดบรรลัยจักร หรืองานท่วมหัวเหมือนจะขาดใจ หรือเจ้าตัวเล็กจอมโกงที่บ้านทำเอาฉุนขาด สมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส หรือต่อมใต้สมองที่มีขนาดเท่าลูกอัลมอนด์ทำหน้าที่เชื่อมระบบประสาทกับระบบเอ็นโดคริน จะบอกให้ต่อมอะดรีนัลหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือที่เรียกกันว่า ฮอร์โมนความเครียดออกมา คอร์ติซอลทำงานตอบสนองกับความเครียด ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้น ลดทอนประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลง

ในทางกลับกัน คอร์ติซอลจะบอกให้ร่างกายไม่ต้องวิตกเกี่ยวกับความต้องการด้านเมตาบอลิซึมพื้นฐาน และจัดการในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องตัวคุณจากความเครียดที่เกิดขึ้น" เจมส์ โคเอน นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย อธิบาย

มันช่วยได้มากเลยหากคุณหลบหนีจากปัญหารุมเร้าได้ เพราะว่าสิ่งที่คุณต้องทำคือป้องกันสภาพร่างกายตัวเองไม่ให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบถี่ กล้ามเนื้อตึงเครียด ทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น ทว่า ร่างกายออกแบบระบบที่ต้องอาศัยพลังงานอย่างหนักดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะสั้น ซึ่งเพียงพอช่วยให้คุณหลุดพ้นจากความเครียด และหยุดภาวะวิกฤติไว้ก่อนร่างกายควบคุมไม่อยู่
แต่ชีวิตในแต่ละวันคนเราย่อมต้องเจอกับความเครียดไม่ได้หยุดหย่อน ภาวะความเครียดดังกล่าวสั่งให้ร่างกายของเราเข้าสู่ระบบฉุกเฉิน และค้างอยู่อย่างนั้น จนความดันพุ่งปรี๊ด ปวดหัวแทบเจียนระเบิด
"ถ้าฮอร์โมนเครียดคุณหลั่งอยู่ตลอดเวลา ร่างกายของคุณจะทรุดโทรม" โคเอ็นกล่าว "สุดท้าย คุณมีชีวิตสั้นลง และทุกข์


ทรมานยิ่งขึ้น"
ถ้าแต่งงานจะช่วยร่างกายรับมือกับสถานการณ์ยุ่งเหยิงเหล่านี้ได้ ทำให้ไฮโปธาลามัสสงบลง หรือลดการหลั่งคอร์ติซอลลง
นักวิจัยทดลองผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเข้าสแกนดูการทำงานของสมอง ด้วยเครื่อง fMRI ระหว่างสแกนอยู่นั้น นักวิจัยบอกกับผู้หญิงว่าเธอกำลังจะถูกช็อตเบาๆ ด้วยกระแสไฟฟ้า
จากนั้น ทีมงานได้เฝ้าดูว่าสมองของศรีภรรยาเหล่านี้ตอบสองกับคำขู่อย่างไรบ้าง และพบว่า ผู้หญิงที่มีชีวิตสมรสราบรื่นมีความสุข ปฏิกิริยาของสมองไฮโปธาลามัสทำงานลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อสามีนั่งกุมมืออยู่ใกล้ๆ ระหว่างทดลอง
ส่วนผู้หญิงที่ชีวิตคู่ไม่ค่อยราบรื่น และผู้หญิงที่มีคนแปลกหน้ากุมมืออยู่ รู้สึกผ่อนคลายเพียงเล็กน้อย
"ผลที่เกิดขึ้นทำให้เราเห็นว่าชีวิตคู่ที่มีสุขมีพลังยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิด" โคเอ็น กล่าว
ข่าวดีก็คือ จากการศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร Health Psychology ฉบับล่าสุดพบว่า เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ผู้ชายสมรสหายเครียดจากงานออฟฟิศที่ถล่มไม่หยุดยั้งจนฮอร์โมนเครียดพลุ่งพล่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่งานหนักเป็นบ้า
ซึ่งอาจเปรียบได้กับการทดลองสแกนสมองของผู้หญิงที่คลายกังวลไปได้มากเมื่อสามีคอยกุมมืออยู่ข้างๆ ส่วนผู้หญิงทำงานก็ได้รับอานิสงส์เดียวกันนี้ โดยเฉพาะคนที่มีความสุขกับชีวิตคู่
แต่ก็มีเหมือนกันที่ผู้หญิงบางคนทำงานกลับมาถึงบ้านแล้วยังต้องเข้าครัวทำอาหารให้พ่อเจ้าประคุณทูนหัว แถมยังต้องสอนการบ้านลูกอีก แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสามีตัวดีเหมือนอย่างคู่สมรสที่ดีจะมีให้แก่กัน


เมื่อคู่รักจากไป
เสียดายที่ชีวิตสมรสไม่ใช่ประกาศนียบัตรการันตีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรักขม ผลจากการวิจัยของกองป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ พบว่า คู่สมรสส่วนใหญ่มักมีปัญหาน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน

ผู้ชายแต่งงานแล้ว 20% มีแนวโน้มลงพุงมากกว่าผู้ชายที่ไม่แต่งงาน บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตพวกเขาราบเรียบขึ้น ตกเย็นก็นั่งกินข้าวกับภรรยาทุกวัน หรืออาจเป็นไปได้ว่าตู้เย็นไม่เคยโล่งเหมือนสมัยยังโสดเพราะมีคนบางคนคอยออกชอปปิงซื้อของมาใส่ตู้อยู่ตลอด

ข้อมูลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า ความเครียดจากชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่น อาจหักลบข้อดีของการแต่งงานได้เหมือนกัน
จากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทีมวิจัยจากวิทยาลัยแพทย์รัฐโอไฮโอพบว่า ปฏิสัมพันธ์ของชีวิตสมรสที่แตกร้าว อย่างปัญหาปากเสียง พูดจาหยาบคาย การมองด้วยสายตาตำหนิ เช่น กลอกนัยน์ตา ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นต่อมเครียดให้ทำงาน และลดทอนประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกัน แผลหายช้าลง ผลกระทบสามารถสังเกตได้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย แต่ผู้หญิงจะเห็นชัดกว่า

ยังมีงานวิจัยที่ศึกษาโดย จอห์น ก็อตแมน จากสถาบันก็อตแมนในซีแอตเทิล พบว่า ภาษาสายตามีผลต่อความรู้สึกของคู่สมรสอย่างมาก มันเหมือนสายตาที่ดูถูกดูแคลน ไม่แยแส ยิ่งพบว่าเห็นอีกฝ่ายกลอกตาใส่บ่อยเท่าไร คุณสามารถทำนายได้เลยว่าต้องไปหาหมอบ่อยขึ้นเท่านั้น

สามีของภรรยารายหนึ่งยอมรับว่า "ก็ผมเป็นผู้ชาย มันแน่อยู่แล้วที่ผมจะห่วงว่าผมเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหลังวิ่งไปได้ 5,000 กิโลเมตรหรือยัง มากกว่าจะมาห่วงว่า ผมไปตรวจสุขภาพประจำปีมาหรือยัง ภรรยาผมมักคิดอยู่เรื่อยว่าผมผิดปกติต้องไปหาหมอ ทั้งที่ผมเองไม่เห็นรู้สึกเลย" และยิ่งเมื่อสายใยแห่งชีวิตสมรสที่คอยปกป้องขาดจากกันยิ่งต้องระวังให้ดี มีเรื่องเล่าขานกันอยู่เสมอว่า ถ้าคู่ชีวิตตายจากไป อีกคนที่อยู่ไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ได้จนต้องตรอมใจตามไปนั้น ข้อเท็จจริงมันยิ่งกว่านั้นอีก
จากการศึกษาของอังกฤษพบว่า คนที่คนรักจากไปแล้ว ชีวิตของพวกเขาเสี่ยงเผชิญกับโรคร้ายถึงแก่ชีวิต มากกว่าคนที่ยังครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา

สมองมักคุ้นเคยกับการมีคนเอาใจใส่ดูแล แต่เมื่อเขาหรือเธอจากไป ชีวิตที่เหลือของคนนั้นจะขาดกฎเกณฑ์ เอาแต่ทุกข์โศก ร่ำไห้ ตื่นมากลางดึก ไม่ว่าจะเกิดจากปัญหาหย่าร้าง คู่รักเสียชีวิต หรือคนรักไปทำงานต่างประเทศนานๆ เมื่อสายใยความผูกพันขาดลง ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานบังเกิดขึ้นได้

แน่นอนว่า คนที่ถูกพรากคนรักทุกคนจะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตกันหมด และไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่อย่างไร้คู่จะเจ็บป่วย หรือเครียดมากมาย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยศักยภาพ รู้จักสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ ทำตัวให้เป็นที่สนใจ และยินดีมีชีวิตในอีกวิถีทางหนึ่งที่แตกต่าง

ถึงกระนั้น คงไม่มีใครแย้งว่า การแต่งงานมีคนคอยเป็นเพื่อนเคียงคู่ และดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอดีกว่าอยู่คนเดียว แม้บางครั้งที่เผลอทิ้งผ้าขนหนูเปียกไว้บนพื้น หรือบีบยาสีฟันผิดทาง จะถูกสายตาพิฆาตตำหนิชนิดความสุขหดหายไปฉับพลันก็ตาม

Related Articels

0 ความคิดเห็น

Leave a Reply


Copyright © 2017 อธิราช | Designed by 4x100Utd